
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนต.ค. ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กรรมการเฟดมีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธ.ค. โดยกรรมการส่วนหนึ่งกังวลว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งผลกระทบต่อการต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งอยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% มาเป็นเวลากว่า 4 ปีครึ่งแล้ว
ในการประชุมซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-29 ต.ค. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟด มีมติ 10 ต่อ 2 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% โดยสตีเฟน มิแรน หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด โหวตสวนมติในที่ประชุม FOMC ครั้งนี้ โดยเขาลงมติให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ขณะที่เจฟฟรีย์ ชมิด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ลงมติให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.00-4.25%
รายงานการประชุมซึ่งเผยแพร่ในวันพุธ (19 พ.ย.) ระบุว่า กรรมการเฟดหลายคนเห็นชอบให้ปรับลดช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย ขณะที่กรรมการบางคนมองว่าเฟดควรจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม
นอกจากนี้ มีกรรมการหลายคนที่คัดค้านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยสิ้นเชิง และแสดงความกังวลว่าความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ของเฟดได้หยุดชะงักลง ขณะเดียวกันก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวอาจจะปรับตัวสูงขึ้น หากเงินเฟ้อไม่กลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ในเวลาที่เหมาะสม
รายงานการประชุมยังระบุด้วยว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่าการเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกนั้น อาจเพิ่มความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน หรืออาจทำให้ตลาดตีความไปในทางที่ผิดว่าคณะกรรมการเฟดขาดความมุ่งมั่นในการทำให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%
ทั้งนี้ รายงานการประชุมดังกล่าวส่งสัญญาณถึงความไม่แน่นอนว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหรือไม่ในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 9-10 ธ.ค. โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักเพียง 30% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 พ.ย. 68)





