
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA รายงานสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุดของวันที่ 24 พ.ย.68 ด้วยข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม Sentinel-1A เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ของไทย โดยข้อมูลจากดาวเทียม พบพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังรวมประมาณ 334,895 ไร่ ในพื้นที่บางส่วนของ 7 จังหวัด ได้แก่:
– สงขลา
– ปัตตานี
– พัทลุง
– นครศรีธรรมราช
– นราธิวาส
– ยะลา
– สตูล
ภาพรวมสถานการณ์และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
– พื้นที่หลักที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลุ่ม และชุมชนที่อยู่อาศัย รวมถึงเส้นทางคมนาคมที่สำคัญบางส่วน
– ระดับน้ำในพื้นที่น้ำท่วมขังส่วนใหญ่ที่พบ มีระดับความลึกตั้งแต่ 1-2.5 เมตรขึ้นไป
ทั้งนี้ GISTDA ระบุว่า สำหรับพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ ข้อมูลจากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติระบุว่า ปริมาณฝนครั้งนี้สูงที่สุดในรอบหลายปี ส่งผลให้มีน้ำหลากเข้าท่วมชุมชนมากกว่า 100 แห่ง บางพื้นที่มีระดับน้ำสูงถึง 3 เมตร บ้านเรือน ถนน และโครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหายจนการสัญจรแทบเป็นไปไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และรุนแรงกว่าหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากปริมาณฝนที่มากกว่าปกติแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้ ยังมีลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งคือ “ฝนตกแช่” (Stagnant Rainfall) หรือฝนที่ตกต่อเนื่องยาวนาน โดยไม่มีช่วงให้ระดับน้ำได้ลดลงเลย ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. จนถึงหลายวันถัดมา ฝนยังคงตกด้วยความแรงสลับเบา แต่ไม่หยุดสนิท ทำให้ดินอุ้มน้ำจนเต็ม ความสามารถในการดูดซึมน้ำลดลงจนเหลือศูนย์ น้ำผิวดินจึงไหลบ่าลงคลองอู่ตะเภาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันทั้งคืน ปริมาณน้ำที่ไหลเข้ามาแบบไม่หยุดพักนี้ ทำให้ระบบลำน้ำ และระบบระบายภายในเขตเมืองไม่สามารถรับมือได้ทัน เกิดการหนุนทับชั้นแล้วชั้นเล่า จนน้ำท่วมทวีความรุนแรงขึ้นในเวลาอันสั้น
เมื่อรวมเข้ากับปริมาณฝนที่ตกหนักกว่าปกติ และตกต่อเนื่องหลายวัน ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงสู่คลองอู่ตะเภามากเกินความสามารถของทั้งดิน ระบบลำน้ำ และระบบระบายน้ำในเขตเมืองในการรองรับ พื้นที่ราบตอนล่างซึ่งเป็นโซนรับน้ำสุดท้ายของลุ่มน้ำ ถูกน้ำท่วมซ้ำซากอีกครั้ง เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นผลลัพธ์ของทั้งสภาพอากาศสุดขั้ว และข้อจำกัดด้านภูมิประเทศที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมโดยโครงสร้าง
เหตุการณ์น้ำท่วมลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาครั้งนี้ เป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่ต่อสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เป็นความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา และเมืองหาดใหญ่ รวมถึงลุ่มน้ำอื่น ๆ ที่มีลักษณะปัจจัยใกล้เคียง สามารถรับมือกับเหตุการณ์น้ำท่วมที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต
“อุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย.68 ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์น้ำท่วมตามฤดูกาล แต่เป็นวิกฤตที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหาจาก ปรากฏการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว และความเปราะบางเชิงโครงสร้างของลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา โดยมีข้อมูลสำคัญจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ยืนยันว่า ระดับน้ำครั้งนี้ สูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดเมื่อปี 2553 และบางแหล่งข้อมูลระบุว่า ปริมาณฝนสะสมสูงถึง 630 มิลลิเมตร ใน 3 วัน (19-21 พ.ย.) ซึ่งมากกว่าปริมาณสูงสุดของปี 53 (428 มม.) และจัดเป็นปรากฏการณ์ฝนตกหนักในรอบหลายสิบปี” GISTDA ระบุ
ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ 10 จังหวัด (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พ.ย. 68 เวลา 06.00 น.) ได้แก่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวม 92 อำเภอ 581 ตำบล 4,146 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 719,858 ครัวเรือน 1,917,521 คน สถานการณ์น้ำภาพรวมในปัจจุบันระดับน้ำเพิ่มขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 พ.ย. 68)





