
นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ วิเคราะห์ว่า ความตึงเครียดระหว่างจีนกับญี่ปุ่นอาจทำให้การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่นลดลงประมาณ 0.2% หากการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคไปจีนลดลง
ตัวเลขดังกล่าวอ้างอิงจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่จีนและเกาหลีใต้ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ Thaad ในช่วงปี 2559-2560 และอ้างอิงจากความเป็นไปได้ที่ความตึงเครียดระหว่างจีนกับญี่ปุ่นในปัจจุบันจะยืดเยื้อ
นักเศรษฐศาสตร์ญี่ปุ่นของโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า หากนักท่องเที่ยวจากจีนและฮ่องกงลดลงครึ่งหนึ่ง จะถ่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจ 0.2% อย่างไรก็ดี ผลกระทบนี้อาจลดลงเหลือ 0.1% หากมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นเพิ่มขึ้น และการท่องเที่ยวภายในประเทศขยายตัว
ส่วนข้อจำกัดในการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคบางรายการจากญี่ปุ่นอาจเพิ่มแรงกดดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอีก 0.1% และนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า หากข้อจำกัดขยายครอบคลุมถึงสินค้าอุตสาหกรรม ผลกระทบต่อ GDP อาจเพิ่มขึ้นหลายเท่า ขณะเดียวกัน หากจีนจำกัดการส่งออกแร่หายากไปยังญี่ปุ่นด้วย ผลกระทบก็จะรุนแรงยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ความตึงเครียดระหว่างจีนกับญี่ปุ่นปะทุขึ้นหลังจาก ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ว่า หากจีนพยายามควบคุมไต้หวัน สถานการณ์อาจกลายเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นสามารถใช้ข้อกฎหมายดำเนินการทางทหารร่วมกับสหรัฐฯ ได้ ส่งผลให้รัฐบาลจีนกล่าวหาทาคาอิจิว่า ก้าวก่ายกิจการภายในของจีน และเรียกร้องให้นายกฯ ญี่ปุ่นถอนคำพูดดังกล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 พ.ย. 68)





