คลัง เร่งปลดล็อก-ขจัดอุปสรรคการลงทุน ควบคู่มาตรการกระตุ้นศก. เชื่อ Q4 มีสัญญาณฟื้น

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ปีนี้ จะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ จากความพยายามของรัฐบาลในการเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ภายใต้นโยบาย Quick Big Win แม้จะมีข้อจำกัดทั้งในเรื่องของงบประมาณ และระยะเวลาการทำงานเพียง 4 เดือน ดังนั้นจึงทำให้ต้องใช้งบประมาณที่มีอยู่จำกัดนี้ ดำเนินโครงการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้กรอบการรักษาวินัยการคลัง ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการมานี้ ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ที่ยังคง Outlook ของประเทศไทยไว้

พร้อมมองว่า เศรษฐกิจไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโต และสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแต่ยังติดขัดอุปสรรคต่าง ๆ ที่ทำการลงทุนจากต่างประเทศยังไม่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผ่าน 3 เรื่องใหญ่ คือ ระเบียบเรื่องการค้า ระเบียบเรื่องเทคโนโลยี และระเบียบเรื่องสภาพภูมิอากาศ เป็นอีกโจทย์สำคัญที่รัฐบาลได้คำนึงถึงในการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจ ที่ไม่เพียงเน้นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ยังมองถึงการเติบโตในระยะยาวอีกด้วย

โดยสิ่งหนึ่งที่ต้องเร่งจัดการ เพื่อคว้าโอกาสผ่านการลงทุนโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ ซึ่งปัจจุบันตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เติบโตสูงถึง 90% หลัก ๆ เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไทยยังพอมีขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น อุตสาหกรรมเกษตร, อุตสาหกรรมอาหาร, อุตสาหกรรมสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์, อุตสาหกรรมออโตเมชั่น และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ซึ่งวันนี้คำขอฯ เหล่านั้น ยังไม่เกิดการลงทุนจริง เนื่องจากยังติดขัดเรื่องกฎ ระเบียบ และเรื่องโครงสร้างพื้นฐานบางอย่าง

“เราเอาโครงการทั้งหมด ที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุน และพร้อมจะลงทุน วงเงินกว่า 4.8 แสนล้านบาท มากางดู และในกลุ่มนี้มีโครงการลงทุนขนาดที่เกิน 1,000 ล้านบาท ราว 80 โครงการ ซึ่ง BOI จะต้องเข้าไปคุยว่าเขาติดขัดอะไร แล้วนำมาจัดกลุ่มปัญหา เพื่อหาแนวทางแก้ไขอย่างถูกจุด จึงเป็นที่มาของโครงการ Thailand Fast Pass ซึ่งจะเข้ามาแก้ปัญหาระยะสั้น ส่วนปัญหาระยะยาว จะมีคณะกรรมการอีกชุดในการนำปัญหาต่าง ๆ ไปดำเนินการแก้ไขต่อ การเร่งดำเนินการปลดล็อกตรงนี้ เพื่อให้เม็ดเงินจากการลงทุนไหลเข้าสู่เศรษฐกิจไทย และเป็นการคว้าโอกาส และเตรียมพร้อมกับระเบียบการค้าให้กับประเทศไทยอีกด้วย” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าว

นายเอกนิติ กล่าวด้วยว่า “พลังงานสะอาด” เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่รัฐบาลพยายามจะปลดล็อก โดยเฉพาะเรื่องสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้า กับผู้ใช้ไฟฟ้า (Direct PPA) เพราะมองว่าหากดำเนินการเรื่องนี้ได้ จะเป็นอีกจุดที่ทำให้ต่างชาติมองเห็นประเทศไทย และเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยอีกโครงการที่รัฐบาลจะเร่งดำเนินการ คือโครงการ Low Carbon City ซึ่งดำเนินการร่วมกับธนาคารโลก (World Bank) เป็นโครงการที่สนับสนุนเรื่องพลังงานสะอาดในชุมชน ซึ่งส่วนนี้รัฐบาลมีหน้าที่ในการดูแลภาพรวม อำนวยความสะดวกให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ซึ่งโครงการนี้เตรียมจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็ว ๆ นี้

“การให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานสะอาด ยังต่อยอดไปถึงระเบียบสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนไปด้วย จากปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนรุนแรงในปัจจุบัน หากไม่มีการวางแผนในการแก้ปัญหาระยะยาว สุดท้าย ปัญหาเรื่องสภาพภูมิอากาศ ก็จะกลับมาเกิดซ้ำอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนในอนาคต ผ่านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานสะอาด จึงไม่เพียงเป็นการเปิดโอกาสให้กับธุรกิจไทย แต่ยังเป็นการรองรับกติกา และระเบียบของสภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย” นายเอกนิติ ระบุ

สำหรับระเบียบเรื่องเทคโนโลยีโลกที่เปลี่ยนไป สะท้อนจากการให้ความสำคัญกับ AI มากขึ้น ซึ่งไทยมีข้อได้เปรียบ เนื่องจากคนไทยเก่งเรื่องโซเชียลมีเดีย แต่ยังขาดการนำ AI มาใช้ประโยชน์ในการทำมาหากิน แต่รัฐบาลเล็งเห็นในส่วนนี้ จึงวางนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นเรื่องการ Upskill Reskill ซึ่งถือเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญ สะท้อนจากโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่เติมเงิน 20% ของยอดขาย (สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท) ให้กับร้านค้าที่เข้าโครงการ Upskill Reskill ใน 3 ทักษะ ซึ่งหลังเปิดลงทะเบียนไปเมื่อ 19 พ.ย.68 พบว่า มีร้านค้าเข้าร่วมแล้ว 5-6 หมื่นร้านค้า ขณะที่ไรเดอร์ในแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ ก็มีรายได้เพิ่มขึ้น 15-20%

“เชื่อว่าภายใต้ระเบียบโลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้า สภาพภูมิอากาศ โลกร้อน หรือดิจิทัล ประเทศไทยยังมีโอกาสอยู่เสมอ แต่สิ่งที่เราขาดคือการลงทุนจริง โดยเฉพาะการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะด้านพลังงานสะอาด และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นในช่วง 4 เดือนที่รัฐบาลเข้ามา สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องยอมรับตามความเป็นจริง และได้เตรียมพร้อมมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ในระยะสั้น แต่ต้องมีผลต่อไปในระยะยาว วางรากฐานสำหรับการลงทุนในอนาคต และต้องเป็นการเติบโตที่กระจายตัวด้วย” นายเอกนิติ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 พ.ย. 68)