ปชป. หารือ สอท. วางนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แก้โจทย์ประเทศ หวัง GDP กลับมาโต 5%

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ส.อ.ท. ร่วมประชุมหารือแลกเปลี่ยนแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยกับคณะผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค

นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า ปชป.เชื่อมาโดยตลอดว่ากลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวจริงคือ ภาคเอกชน และบทบาทของภาครัฐ คือ การสร้างกติกาสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้ทางภาคเอกชนทำงานได้ดีที่สุด วันนี้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และแนวโน้มใหม่ ๆ รวมถึงปัญหาภายในประเทศที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการเมือง จำเป็นจะต้องหาแนวทางใหม่เพื่อจะทำให้เศรษฐกิจไทยหลุดพ้นจากกับดักหรือหล่มที่เผชิญอยู่

“วันนี้ผมและผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ได้วางกรอบทิศทางไว้หลายประเด็น ตลอดจนการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาประเทศ โดยเฉพาะการเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจและอัตราการเจริญเติบโตที่นับวันยิ่งถดถอยลงไปเรื่อย ๆ ที่จำเป็นต้องทำให้อัตราการเจริญเติบโตกลับไปโตที่ประมาณ 5% เพราะหากตัวเลขยังเติบโตในระดับที่ 2% แบบปัจจุบันก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องอื่น ๆ ได้ เช่น สังคมสูงวัย การจัดสวัสดิการแห่งรัฐ ดังนั้นเราต้องแสวงหาเครื่องจักรตัวใหม่หรือกระบวนทัศน์ใหม่ในการที่จะขับเคลื่อนไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และภาคบริการ ให้เกิดการผสมผสานในภาพรวม” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นโจทย์ใหญ่มี 2 เรื่อง คือ

เรื่องแรก การทุจริตคอร์รัปชั่น ที่เป็นความท้าทายและต้องยอมรับว่าเป็นตัวสร้างปัญหาปั่นป่วนและทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและบั่นทอนขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นต้องเริ่มต้นที่บ้านเมืองที่สุจริตอย่างเอาจริงเอาจัง และให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญและอันตรายตรงนี้

เรื่องที่สองที่ถือเป็นโจทย์ใหญ่ คือ การพัฒนาทักษะคน โดยเฉพาะระบบการศึกษาที่เรื้อรังและยืดเยื้อมานาน ที่จะไม่ใช่เรื่องการให้ความรู้อีกต่อไป แต่จะเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้และมีความยืดหยุ่น รวมถึงการมีหลักสูตรที่รับรองเป็นรายทักษะที่มากขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในสถานการณ์โลกปัจจุบัน ที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับประเทศไทยในการเป็นประธานอาเซียนในปี 2571 ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากอาเซียนให้เกิดเป็นความร่วมมือระหว่างกัน รวมถึงนโยบายทางการเงินเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจจริงโดยไม่กระทบกับระบบสถาบันทางการเงิน

หัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวว่า ตนและพรรคประชาธิปัตย์พยายามแสวงหาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อเข้ามาช่วยเสริมสร้างและผลักดันประเทศให้ไปสู่เป้าหมาย ตลอดจนสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจาก ส.อ.ท.ที่ตรงกับมุมมองของพรรคฯ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศของพรรคฯ ในอนาคตต่อไป

ด้ายนายเกรียงไกร กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในวันนี้ เปรียบได้กับ “รถที่ติดหล่ม” ต้องใช้แรงมหาศาลในการดึงขึ้นมา ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเร่งเครื่องนโยบายจากภาครัฐ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเผชิญความท้าทายหลายอย่าง เช่น 1) มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ 2) ปัญหาสินค้าทุ่มตลาด/สวมสิทธิ์ส่งออก 3) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 4) ข้อพิพาทพื้นที่ชายแดน 5) หนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ 6) ค่าเงินบาทแข็งค่า 7) ผลกระทบจากปัญหาสภาพภูมิอากาศ 8) ธุรกิจสีเทาและอาชญากรรมไซเบอร์ ตลอดจนปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งสังคมผู้สูงอายุ กับดักรายได้ปานกลาง ระบบการศึกษา การเมือง งบประมาณไม่สมดุล คอร์รัปชันและกฎหมายล้าสมัย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ธ.ค. 68)