มองมุมต่าง: “เปลี่ยนเกมประเทศไทย” ดันตลาดทุนสร้าง S-Curve ใหม่-หลักประกันสุขภาพอนาคตชาติ

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์

ไม่ใช่เพราะเรากำลังก้าวสู่ความรุ่งเรือง หากแต่เพราะ วิกฤตใหญ่ 3 ระลอก กำลังถาโถมเข้ามาพร้อมกัน และหากยังเดินเกมแบบเดิม ประเทศอาจหมดโอกาสในการแข่งขันในเวทีโลกอย่างถาวร

วิกฤตที่หนึ่ง: เศรษฐกิจ-การคลัง ติดหล่ม “กับดักรายได้ปานกลาง หนี้เยอะ”

เครื่องยนต์เศรษฐกิจแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรมราคาต่ำ หรืออุตสาหกรรมรับจ้างผลิต กำลังหมดแรง

การเติบโตเชิงปริมาณไม่สามารถพาเราไปสู่ประเทศรายได้สูงได้อีกต่อไป หากยังไม่เปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม ประกอบกับหนี้ครัวเรือนปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

วิกฤตที่สอง: สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society)

ในปี พ.ศ. 2578 ประเทศไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มตัวโดยมีลักษณะโครงสร้างของการ “แก่ก่อนรวย” โดยยังไม่มีโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบสุขภาพที่รองรับภาระนี้อย่างยั่งยืน

วิกฤตที่สาม: ศักยภาพบุคลากร ที่ถูกโรคเรื้อรังรุมเร้า

โรคไม่ติดต่อแต่เรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดัน มะเร็ง และโรคหัวใจ คร่าชีวิตคนไทยถึง 74% ของการเสียชีวิตทั้งหมด

งบประมาณสาธารณสุขถูกดูดไปกับ “การรักษาปลายเหตุ” ขณะที่กำลังแรงงานของชาติค่อย ๆ อ่อนแอลง

ทางรอดเดียวคือ “เปลี่ยนบทบาทรัฐ” และ “เปลี่ยนเกมประเทศ”

รัฐบาลไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเพียง “ผู้จ่าย (Payer)” ได้อีกต่อไป แต่ต้องเปลี่ยนเป็น “ผู้สนับสนุน (Enabler)” เปิดพื้นที่ให้ตลาดทุน เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาเป็นพลังหลักในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

จากโจทย์นี้ จึงเกิดข้อเสนองานวิจัย จากสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 36 ในหัวข้อ ‘ขับเคลื่อนความเป็นอยู่ที่ดีอย่างเท่าเทียม และนวัตกรรมระบบสุขภาพแบบองค์รวมด้วยกลไกตลาดทุน’ (“Thailand Global Medical Hub Fund” – Bridging Equitable Well-being and Holistic Healthcare Innovation by Capital Market Mechanism)

พร้อมกลไกทางการเงินสำคัญ คือ Thailand Global Medical Hub Fund (TGMHF) กองทุนระดับชาติที่ใช้ตลาดทุนเป็นเครื่องยนต์ ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “ผู้สร้างนวัตกรรมสุขภาพระดับโลก ที่ไม่ใช่แค่ผู้ซื้อเทคโนโลยีจากต่างชาติ”

ยุทธศาสตร์นี้ตั้งอยู่บน 4 เสาหลัก ที่เชื่อมโยงกันเป็นระบบนิเวศเดียว ดังนี้

เสาหลักที่ 1: National Genomics Database & NCD Prevention เปลี่ยน “ข้อมูลสุขภาพ” ให้เป็นสินทรัพย์ของชาติ

ประเทศไทยมีโอกาสครั้งใหญ่ในการก้าวสู่ยุค Precision Medicine ผ่านการจัดทำ ฐานข้อมูลพันธุกรรมระดับชาติ (National Genomics Database)

กลยุทธ์

  • ปูพรมตรวจสุขภาพเชิงป้องกันให้ประชากรวัยทำงาน 15–30 ล้านคน
  • คัดกรองความเสี่ยงทางพันธุกรรมของโรค NCDs ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
  • สร้าง Big Data ด้านจีโนมิกส์ ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลสุขภาพจริงของคนไทย

ผลลัพธ์เชิงระบบ

  • ลดการเกิดโรค NCDs ได้ถึง 33%
  • ประหยัดค่ารักษาพยาบาลระยะยาวกว่า 430,000 ล้านบาท
  • สร้าง “ขุมทรัพย์ข้อมูล” เพื่อใช้พัฒนายา วัคซีน AI ทางการแพทย์ และงานวิจัยขั้นสูง

นี่คือการลงทุนใน Public Good ที่ให้ผลตอบแทนทั้งทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต

 

เสาหลักที่ 2: MedTech Startup Ecosystem ปิด “Valley of Death” ของนวัตกรรมไทย

วันนี้สตาร์ทอัพด้านการแพทย์ของไทยจำนวนมาก ไม่ได้ล้มเพราะเทคโนโลยีไม่ดี แต่ล้มเพราะ ไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนในระยะเริ่มต้น และระยะเติบโต

กลยุทธ์

  • จัดตั้งกองทุนเฉพาะกิจ เช่น Hospital One Fund ให้โรงพยาบาลร่วมลงทุนและเป็นผู้ใช้งานจริง (First Customer)
  • ใช้มาตรการภาษีจูงใจให้เอกชนร่วมลงทุนใน MedTech
  • เปิดทางการระดมทุนรูปแบบใหม่
  • Fast-Track IPOs (LIVEx / mai)
  • Investment Tokens / Utility Tokens

ผลลัพธ์

  • ลดการนำเข้าเครื่องมือแพทย์มูลค่ามหาศาล
  • สร้างงานทักษะสูง และยกระดับห่วงโซ่อุตสาหกรรมภายในประเทศ
  • ปั้น “Unicorn สุขภาพ” ที่ถือทรัพย์สินทางปัญญาของไทย

เสาหลักที่ 3: Cancer Center of Excellence ไทยสู่การเป็น “Cancer Care Hub of Asia”

มะเร็งคือภาระสุขภาพอันดับหนึ่งของประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสในการยกระดับบริการสุขภาพสู่ระดับโลก

กลยุทธ์

  • ยกระดับศูนย์มะเร็งไทยสู่มาตรฐานสากล
  • ใช้โมเดล Cross-Subsidization นำรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ มาสนับสนุนค่ารักษาแบบ Precision Medicine ให้คนไทย
  • เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลจีโนมิกส์ เพื่อการรักษาที่แม่นยำเฉพาะบุคคล

ผลลัพธ์

  • ดึง FDI เข้าประเทศ 3.5-5.4 แสนล้านบาท
  • ทำให้คนไทยเข้าถึงยามะเร็งราคาแพงและเทคโนโลยีระดับโลกได้จริง
  • สร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการแพทย์ชั้นนำด้านมะเร็งของเอเชีย

เสาหลักที่ 4: Silver Communities เปลี่ยนสังคมสูงวัย ให้เป็น “เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่”

ผู้สูงวัยไม่ใช่ภาระ หากออกแบบถูกต้อง พวกเขาคือ “กำลังซื้อคุณภาพสูง”

กลยุทธ์

  • พัฒนาเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่ และเมืองรอง อย่างหัวหิน พัทยา ให้เป็น Silver Community ระดับโลก
  • นำสินทรัพย์รอการขาย (Brownfield) มาพัฒนาใหม่
  • ดึงดูดผู้สูงวัยกำลังซื้อสูง 2 ล้านคน (ต่างชาติ 1.5 ล้าน / ไทย 0.5 ล้าน)

ผลลัพธ์

  • สร้างผลตอบแทน IRR ประมาณ 15%
  • กระจายรายได้สู่ภูมิภาค
  • ลดภาระรัฐในระยะยาว ผ่านการลงทุนแบบยั่งยืน

กลไกการเงิน: เปลี่ยนภาระงบประมาณ เป็นโอกาสการลงทุน

  • รัฐบาล: ออกพันธบัตรเพื่อการป้องกันโรค (Health Prevention Bonds)
  • เอกชน/ตลาดทุน:
  • REITs (Silver Communities)
  • IPOs (MedTech)
  • หุ้นกู้และ Infrastructure Funds
  • TGMHF: ลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

โครงสร้างของกองทุน TGMHF

กองทุน THMHF จะเป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์ไฮบริดและโรดแมป เพื่อ”พลิกชาติ” โดยมี โครงสร้างอัจฉริยะ จาก 3 ต้นแบบความสำเร็จที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว อาทิ

  • Vayupak Style: การันตีความเชื่อมั่น คุ้มครองผู้ลงทุน (Confidence First)
  • Thai ESG Style: ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจ (Tax Incentives)
  • Korean New Deal Style: รัฐ-เอกชนร่วมรับความเสี่ยง ปั้นอุตสาหกรรมอนาคต (Co-Risking the Future)

กองทุนเหล่านี้ เป็นกลไก “รัฐหนุน” (Government Backing) ที่มีลักษณะดังนี้

  1. Asset-Backed: ใช้หุ้นรัฐวิสาหกิจหรือที่ราชพัสดุเป็นทุนประเดิมและหลักประกัน
  2. Yield-Guaranteed: การันตีปันผลขั้นต่ำ ปิดความเสี่ยง (Downside Protection) ให้นักลงทุน

ความคาดหวังจะเป็น สูตรสำเร็จเศรษฐกิจใหม่ “ทรัพย์สินรัฐ + ทุนเอกชน + การบริหารมืออาชีพ = GDP พุ่ง โดยไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ”

*โรดแมปการลงทุน (Investment Sequencing)

เน้น “Quick Win” สร้างผลลัพธ์เชิงอารมณ์และรายได้ทันที เพื่อความยั่งยืนของกองทุน

  • เฟส 1 (Year 1) | Cancer COE: “หยุดวิกฤตเบอร์ 1”

Strategic Move: ตอบโจทย์วิกฤตมะเร็งที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ได้ใจมวลชน (Emotional Response) พร้อมสร้าง Cash Flow จากต่างชาติได้เร็วที่สุด

  • เฟส 2 (Year 1-2) | Silver Community: “สินทรัพย์ปลอดภัย”

Strategic Move: เน้นอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง มีโฉนดค้ำประกัน ความเสี่ยงต่ำ เข้าใจง่าย และจับกลุ่มผู้เกษียณอายุทั่วโลก

  • เฟส 3 (Year 3-5) | MedTech & Genomics: “นวัตกรรมกู้ชาติ”

Strategic Move: การลงทุนระยะยาวเพื่ออธิปไตยทางการแพทย์ (High Risk, High Reward) โดยใช้ฐานกำไรที่มั่นคงจากเฟส 1 และ 2 มาต่อยอด

เปิดโอกาสให้คนไทยลงทุน เปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้รับสวัสดิการ” เป็น “เจ้าของการเติบโตของประเทศ”

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่นโยบายสาธารณสุข แต่นี่คือ “แผนความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของชาติ” หากเกิดขึ้นจริงจะส่งผลดังนี้

  •  GDP เติบโตเพิ่ม +2.15% ถึง +5.1% ต่อปี
  • สร้างงานกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง
  • เพิ่มมูลค่าตลาดทุนสูงถึง 5 แสนล้านบาท
  • ที่สำคัญที่สุด คนไทยสุขภาพดี เข้าถึงการแพทย์ล้ำสมัยอย่างเท่าเทียม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นโยบายนี้ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาสุขภาพ แต่คือการ “ออกแบบอนาคตใหม่ของประเทศไทย” ที่ประชาชนมีสุขภาพดี เศรษฐกิจเติบโต และตลาดทุนเป็นพลังร่วมของสังคม

หากหน่วยงานใดของภาครัฐมีความสนใจใน “พิมพ์เขียวเชิงยุทธศาสตร์” ฉบับนี้ สามารถขอข้อมูลงานวิจัยฉบับเต็มได้จาก สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.)

ธิติ ภัทรยลรดี

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ธ.ค. 68)