ดาวโจนส์ร่วงกว่า 100 จุด สวนทาง Nasdaq พุ่งรับงบกลุ่มเทคโนโลยี

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุดในวันนี้ สวนทางการทะยานขึ้นของดัชนี Nasdaq ซึ่งได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

ณ เวลา 21.52 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 32,661.86 จุด ลบ 122.44 จุด หรือ 0.37% ขณะที่ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นเกือบ 1% และดัชนี S&P 500 บวก 0.1%

ดัชนีดาวโจนส์ได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของหุ้นเจพีมอร์แกนและเชฟรอน รวมทั้งผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่ระบุว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงในเดือนต.ค. ขณะที่ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นอะเมซอนและอินเทล

ราคาหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ ร่วงลงกว่า 2% หลังมีรายงานว่า นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของทางธนาคาร เตรียมขายหุ้นเจพีมอร์แกนจำนวน 1 ล้านหุ้นในปีหน้า

ส่วนหุ้นเชฟรอน คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 5% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3/2566

ราคาหุ้นบริษัท อินเทล คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 10% หลังบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์กำไรและรายได้ในไตรมาส 4/2566 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ราคาหุ้นของบริษัท อะเมซอนดอทคอม อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 7% ขานรับกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 3/2566

ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 63.8 ในเดือนต.ค. แต่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 63.0 จากระดับ 68.1 ในเดือนก.ย.

ผู้บริโภคลดความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ

ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.2% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 3.8%

นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ไม่เปลี่ยนแปลงจากการสำรวจเดือนที่แล้ว

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.4% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 3.4% ในเดือนส.ค.

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนก.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.3% จากระดับ 0.4% ในเดือนส.ค.

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 3.7% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 3.8% ในเดือนส.ค.

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.1% ในเดือนส.ค.

ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินสัปดาห์หน้า และเพิ่มน้ำหนักในการคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการประชุมนโยบายการเงินครั้งสุดท้ายในปีนี้

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.5% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.

นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 79.9% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 57.9% ในเดือนที่แล้ว