ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.49 ระหว่างวันลงไปแตะ 33.37 แข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน

          นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 33.49 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจาก
เปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 33.53 บาท/ดอลลาร์
          ระหว่างวัน เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.37 - 33.57 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาท และสกุลเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหว
ในทิศทางที่แข็งค่า จากปัจจัยที่ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า และราคาทองคำในตลาดโลกที่พุ่งขึ้นระหว่างวัน       
          "ระหว่างวัน เงินบาทลงไปแตะ 33.37 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่แข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน หรือตั้งแต่ปลายเดือน
ต.ค.67" นักบริหารเงิน กล่าว
          สำหรับช่วงนี้ ต้องติดตามราคาทองคำในตลาดโลก ส่วนภาพใหญ่ ตลาดรอดูผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กน
ง.) วันที่ 26 ก.พ.นี้เป็นหลัก
          นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันพรุ่งนี้ ไว้ที่ 33.40 - 33.60 บาท/ดอลลาร์

          * ปัจจัยสำคัญ

          - เงินเยน อยู่ที่ระดับ 149.52 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 149.14 เยน/ดอลลาร์
          - เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.0472 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.0517 ดอลลาร์/ยูโร
          - ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,235.85 จุด ลดลง 10.36 จุด (-0.83%) มูลค่าการซื้อขาย 42,206.62 ล้านบาท
          - สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,406.97 ลบ. (SET+MAI)  
          - รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แนะนำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลด
ดอกเบี้ยว่า การลดหรือไม่ลดอัตราดอกเบี้ยนั้น ในทุกประเทศจะกลัวเรื่องเงินเฟ้อ กลัวความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ แต่เงินเฟ้อของไทย 
อยู่ในระดับต่ำมาอย่างต่อเนื่อง หากอัตราดอกเบี้ยลงแล้วเพิ่มความร้อนแรงทางเศรษฐกิจขึ้นบ้าง ก็ถือเป็นจังหวะที่ดีกว่าปีที่แล้ว เพราะ
หลายอย่างเริ่มไปในทิศทางที่ดีขึ้น
          - ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.25% ในการประชุมนัดแรกของปีในวันที่ 26 ก.พ. 68 เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการ
เงินในอนาคต (Policy Space) ท่ามกลางประสิทธิผลของนโยบายการเงินที่ลดลง โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง
          - ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 68 จะเติบโต 2.8% โดยมีปัจจัยหนุนจากภาคการ
ท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดี ขณะเดียวกัน ยังมีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจากภาคการส่งออกที่ยังมีทิศทางการปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีความผันผวนจาก
การใช้นโยบายการค้าของสหรัฐ และการส่งออกรถยนต์หดตัวในปี 67 ในหลายปีที่ผ่านมา
          - ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.35-33.85 
บาท/ดอลลาร์ โดยปัจจัยในประเทศ เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างน่าผิดหวังด้วยอัตราเพียง 2.5% ในปี 67 โดยเฉพาะผลบวกที่จำกัดต่อการ
บริโภคภาคเอกชนจากโครงการแจกเงินในไตรมาสสุดท้ายของปี เปิดทางให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจตัดสินใจลด
ดอกเบี้ยลง 25bp สู่ระดับ 2.00% ในการประชุมวันที่ 26 ก.พ. แต่หาก กนง.เลือกที่จะคงดอกเบี้ยไว้ในรอบนี้ เรามองว่าเงื่อนไขต่าง 
ๆ ยังคงเอื้อสำหรับการลดดอกเบี้ยนโยบายลงในระยะข้างหน้า
          - สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนม.ค. 68 อยู่ที่ 62,321 
คัน ลดลง 28.13% จากเดือนม.ค. 67 โดยมีมูลค่าการส่งออก 41,445.30 ล้านบาท ลดลง 31.57% ต่ำสุดในรอบ 33 เดือน
          - ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์ ระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ที่ 2.25% ในการประชุมวันที่ 26 ก.พ. นี้ และอาจปรับลดเพียงครั้งเดียวในปี 68 เพื่อรักษาพื้นที่นโยบายในการรับมือความไม่แน่นอนของ
เศรษฐกิจโลก
          - เวียดนามส่งออกเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา แซงหน้าประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึง
มาเลเซีย และไทย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาค เนื่องจากเวียดนามได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานของบริษัท
ต่าง ๆ ที่ทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากจีน
          - นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ อาทิ ยอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
รายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/67, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home 
Sales) เดือนม.ค. และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนม.ค.