สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ค. 68)
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 32.75 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากเปิดตลาด เมื่อเช้าอยู่ที่ระดับ 32.48 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเคลื่อนไหวในกรอบ 32.47 - 32.76 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ในช่วงเช้าเงินบาทแข็งค่า จากปัจจัยที่ศาลอุทธรณ์ ของสหรัฐ คืนสถานะให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับมาใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) ได้ชั่วคราว แต่ ในช่วงบ่ายราคาทองคำตลาดโลกย่อลง ส่งผลให้เงินบาทเย็นนี้กลับมาอ่อนค่า ในขณะที่สกุลเงินในภูมิภาค เคลื่อนไหวแบบผสมทั้งแข็งค่าและ อ่อนค่า สำหรับคืนนี้ ตลาดรอติดตามการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่า ดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) จะอยู่ที่ 2.5%YoY ขณะที่ในช่วงวันหยุดยาว ต้องติดตามข่าวมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่อาจสร้างความผันผวนต่อค่าเงินบาทได้ นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพุธหน้าไว้ที่ 32.50 - 32.80 บาท/ดอลลาร์ THAI BAHT SPOT RATE FIXING อยู่ที่ระดับ 32.7338 บาท/ดอลลาร์ * ปัจจัยสำคัญ - เงินเยน อยู่ที่ระดับ 143.97 เยน/ดอลลาร์ จากเมื่อเช้าที่ระดับ 143.52 เยน/ดอลลาร์ - เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.1341 ดอลลาร์/ยูโร จากเมื่อเช้าที่ระดับ 1.1384 ดอลลาร์/ยูโร - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยเดือน เม.ย. 68 ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน ตามการผลิตภาค อุตสาหกรรม ภาคบริการ และการลงทุนภาคเอกชน การผลิตภาคอุตสาหกรรมดีขึ้นในหลายหมวด โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์นั่ง สอดคล้อง กับยอดขายในประเทศที่ปรับดีขึ้น ขณะที่การผลิตในบางหมวดเพิ่มขึ้นจากการสะสมสินค้าคงคลัง หลังเร่งส่งออกไปในเดือนก่อน ส่วนนโยบาย การค้าสหรัฐฯ ยังไม่ส่งผลลบต่อเศรษฐกิจชัดเจนนัก โดยการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัว การส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ชะลอลงบ้างแต่ยังอยู่ ในระดับสูง - รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมนำโครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเร็ว ๆ นี้ ในเรื่องงบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ทำแพลตฟอร์มที่จะให้ผู้ประกอบการ และคนไทยทุกคน ที่สนใจ ได้ลงทะเบียนควบคู่กันไป คาดว่าน่าจะใช้ได้ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ - สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน เม.ย. 68 อยู่ที่ 92.30 ขยาย ตัว 2.17% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่หดตัว 12.74% จาก มี.ค. 68 โดยการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนได้รับปัจจัยหนุนจาก ดัชนีการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 21 เดือน, สหรัฐฯ ชะลอการบังคับใช้นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าออก ไป 90 วัน, การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ - ทีมวิจัยกรุงศรี คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 68 จะเติบโต 2.1% ชะลอลงจากคาดการณ์เดิมที่ 2.7% แม้ในไตรมาส 1/68 จะ ขยายตัวได้ 3.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งสูงกว่าคาดเล็กน้อย แต่โครงสร้างภายในยังเปราะบาง โดยการส่งออกที่ขยายตัวได้ถึง 15% ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งส่งออกก่อนมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งชี้ว่าแรงส่งจากภาคต่างประเทศอาจไม่ ยั่งยืน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอตัว และการลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวต่อเนื่อง แม้การลงทุนภาครัฐเติบโตสูง สะท้อนถึงข้อ จำกัดด้านอุปสงค์ภายในประเทศและความท้าทายจากปัญหาเชิงโครงสร้าง - ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เข้าพบประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (29 พ.ค.) พร้อมย้ำชัดว่า เฟดจะกำหนดนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับกฎหมาย โดยเฟดระบุในแถลงการณ์ว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นที่ทำเนียบขาวตามคำเชิญของ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยทั้งสองได้หารือเกี่ยวกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเติบโต การจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ พร้อมเสริม ว่า ประธานเฟดไม่ได้เผยความคาดหวังของตนต่อแนวนโยบายการเงินในอนาคต - รมว.คลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน "หยุดชะงักเล็กน้อย" ซึ่งทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน จำเป็นต้องเจรจากันโดยตรง - สำนักงานสถิติญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสด ในกรุงโตเกียวของ ญี่ปุ่น พุ่งขึ้น 3.6% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 2 ปีหรือนับตั้งแต่เดือนม.ค. 66 และมากกว่าในเดือนเม.ย. ที่ เพิ่มขึ้น 3.4%