ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์แทบไม่ขยับ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ
ณ เวลา 18.54 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 1 จุด สู่ระดับ 42,501 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดวานนี้ร่วงลงเกือบ 100 จุด โดยได้รับผลกระทบจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี และดัชนีภาคบริการหดตัวครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 37,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2566 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 110,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 60,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย.
นอกจากนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 49.9 ในเดือนพ.ค. ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การหดตัวครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี จากระดับ 51.6 ในเดือนเม.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 52.1
ดัชนีภาคบริการได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ส่งผลให้คำสั่งซื้อใหม่ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี ส่วนดัชนีราคาพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง โดยได้รับผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในวันนี้ รวมทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันพรุ่งนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.2%
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย.) ซึ่งเป็นรายงานที่นักลงทุนจับตามอง เนื่องจากเป็นรายงานการประเมินภาวะเศรษฐกิจจากเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งประจำอยู่ใน 12 เขตของสหรัฐ และมีการเปิดเผยก่อนการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดย FOMC จะพิจารณารายงานฉบับนี้สำหรับการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินในการประชุมวันที่ 17-18 มิ.ย.
นอกจากนี้ Beige Book เป็นรายงานที่มีการรวบรวมข้อมูลจากมุมมองของผู้นำธุรกิจ รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนายธนาคารในภูมิภาค ทำให้ Beige Book สามารถสะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้าง
สำหรับรายงาน Beige Book ฉบับล่าสุดที่เฟดเปิดเผยวานนี้ บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐได้หดตัวลงในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้การจ้างงานชะลอตัว ขณะที่ผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างกังวลเกี่ยวกับราคาสินค้าและเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากร และวิตกว่าการจ้างงาน รวมทั้งเศรษฐกิจโดยรวมอาจชะลอตัวลงอันเนื่องจากผลกระทบจากภาษีศุลกากร โดยคำว่า "ภาษีศุลกากร" (tariffs) ได้ถูกระบุถึง 122 ครั้งในรายงาน Beige Book ฉบับนี้ เทียบกับ 107 ครั้งในรายงานฉบับเดือนเม.ย.
รายงานระบุว่า "กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ปรับตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรายงานครั้งก่อนที่มีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ทุกเขตของเฟดต่างรายงานถึงระดับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและนโยบายที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้เกิดความลังเลและแนวโน้มระมัดระวังในการตัดสินใจของภาคธุรกิจและครัวเรือน"
"โดยรวมแล้วการจ้างงานเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในพื้นที่ส่วนใหญ่ของทั้ง 12 เขตของเฟด โดย 7 เขตระบุว่าการจ้างงานอยู่ในระดับ ทรงตัว ขณะที่ทุกเขตรายงานถึงความต้องการแรงงานที่ลดลง การหยุดการจ้างงานชั่วคราว และแผนการปรับลดพนักงาน ขณะที่หลายเขตรายงานว่ามีการปลดพนักงานบางส่วน แต่ไม่ใช่ในวงกว้าง"
"มีรายงานอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับการคาดการณ์ว่าต้นทุนและราคาจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วขึ้นในอนาคต ขณะที่บางเขตคาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงและมีนัยสำคัญ โดยรายงานจากทุกเขตระบุว่าภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นกำลังกดดันต้นทุนและราคาสินค้าให้เพิ่มขึ้น และผู้ที่มีแผนจะผลักภาระต้นทุนจากภาษีศุลกากรไปยังผู้บริโภคจะดำเนินการภายใน 3 เดือน"
ทั้งนี้ เขตบอสตัน นิวยอร์ก และฟิลาเดลเฟีย ต่างรายงานว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ปรับตัวลง ขณะที่ริชมอนด์ แอตแลนตา และชิคาโก รายงานว่ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เฟดระบุว่าเขตนิวยอร์กมีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น และราคาสินค้าได้พุ่งขึ้นอย่างมาก อันเนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร