ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.66 กลับมาแข็งค่าจากช่วงเช้าตามราคาทองขยับขึ้น รอผลเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน

          นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.66 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจาก
ช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 32.72 บาท/ดอลลาร์
          ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.62-32.75 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแข็งค่าจากปัจจัยราคาทองคำในตลาด
โลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ตลอดทั้งวันยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามามากนัก ขณะที่คืนนี้ยังไม่มีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ
          "บาทแข็งค่าตามทิศทางราคาทองที่ขยับขึ้น แต่ระหว่างวัน ยังไม่มีปัจจัยใหม่อะไร" นักบริหารเงิน ระบุ
          วันนี้ตลาดรอติดตามความคืบหน้า การเจรจามาตรการภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ-จีน ซึ่งจะมีขึ้นที่กรุงลอนดอน สหราช
อาณาจักร โดยเป็นการเจรจาระหว่าง "สก็อตต์ เบสเซนต์" รมว.คลังสหรัฐฯ กับ "เหอ หลี่เฟิง" รองนายกรัฐมนตรีจีน  
          นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.50 - 32.80 บาท/ดอลลาร์
          
          * ปัจจัยสำคัญ
          - เงินเยน อยู่ที่ระดับ 144.03 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 144.80 เยน/ดอลลาร์
          - เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.1431 ดอลลาร์/ยูโร จากชวงเช้าที่ระดับ 1.1399 ดอลลาร์/ยูโร
          - ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ 1,135.24 จุด ลดลง 1.19 จุด (-0.10%) มูลค่าซื้อขาย 24,061.72 ล้านบาท 
          - สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 209.87 ล้านบาท
          - สภาพัฒน์ เผยหนี้ครัวไทย ไตรมาส 4/67 มีมูลค่า 16.42 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 88.4% ของ GDP ชะลอลงต่อ
เนื่อง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนลดลง ด้านสถานการณ์แรงงานไตรมาส 1/68 อัตราการว่างงาน อยู่ที่ 0.88% ทรงตัวจากไตร
มาสก่อนหน้า ขณะที่การจ้างงานภาคเกษตรลดลงต่อเนื่อง ส่วนนอกภาคเกษตรขยายตัวได้เล็กน้อย
          - สภาพัฒน์ เผยสถานการณ์แรงงาน ไตรมาส 1/68 ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.4 ล้านคน ลดลง 0.5% จากไตรมาส 
4/67 ผลจากการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย สำหรับ
จำนวนผู้ว่างงาน อยู่ที่ 3.6 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานที่ 0.88% ใกล้เคียงกับไตรมาส 4/67
          - จีนเผยยอดส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เดือนพ.ค.68 หดตัว 34.5% (YoY) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.
พ.63 และเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ยอดส่งออกโดยรวมของจีนในเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 4.8% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ส่งผลให้จีนเกิน
ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลดลงถึง 41.55% มาอยู่ที่ระดับ 18,000 ล้านดอลลาร์
          - สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้
บริโภค ปรับตัวลง 0.1% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 4 สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการกระตุ้น
เศรษฐกิจของรัฐบาลจีนยังไม่สามารถทำให้การอุปโภคบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวขึ้นได้
          - รัฐมนตรีกระทรวงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และหัวหน้าคณะเจรจาการค้า เตรียมเดินทางเยือนสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อ
เข้าร่วมการเจรจาการค้ารอบที่ 6 โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุข้อตกลงในการทำให้สหรัฐฯ ยกเว้นมาตรการเก็บภาษีนำเข้า
          - ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง ผู้นำคนใหม่ของเกาหลีใต้ เตรียมจัดการประชุมคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ฉุกเฉินครั้งที่ 2 ใน
วันนี้ โดยคาดว่าวาระการประชุมจะเน้นไปที่แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
          - ซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) เลื่อนคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จากเดือนก.ค.68 ไป
เป็นเดือนก.ย.68 และปรับลดจำนวนครั้งการลดดอกเบี้ยในปีนี้ จาก 4 ครั้ง เหลือ 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในเดือนก.ย., ต.ค. และ
ธ.ค. หลังสหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานเดือนพ.ค. ที่แข็งแกร่งกว่าคาด
          - สัปดาห์นี้สหรัฐฯ จะมีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ค., จำนวนผู้ขอรับ
สวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมิ.ย. เป็นต้น