นักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา คาดการณ์ว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป แม้ศาลฎีกาสหรัฐมีคำพิพากษาให้มาตรการดังกล่าวเป็นโมฆะ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐมีคำวินิจฉัยว่า มาตรการภาษีส่วนใหญ่ของปธน.ทรัมป์ "มิชอบด้วยกฎหมาย" ส่งผลให้ปธน.ทรัมป์ยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาสหรัฐเพื่อให้พิจารณาคดีดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยหวังว่าศาลฎีกาจะกลับคำตัดสินดังกล่าว
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของปธน.ทรัมป์ โดยระบุว่า ปธน.ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977
"หากศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ เราคาดว่ามาตรการภาษีศุลกากรก็จะยังคงถูกนำมาใช้ผ่านทางการใช้อำนาจตามกฎหมายอื่น" นายสตีเฟน จูนู นักเศรษฐศาสตร์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา ระบุในรายงาน โดยคาดว่าปธน.ทรัมป์จะยังคงเดินหน้าเรียกเก็บภาษีศุลกากรตามมาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 1974 และมาตรา 338 ของกฎหมายภาษีศุลกากร Smoot-Hawley ปี 1930
"นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังสามารถหวนกลับไปใช้แนวทางเดิมในขณะที่ปธน.ทรัมป์ดำรงตำแหน่งในสมัยแรก โดยการใช้มาตรา 232 และ 301" นายจูนูกล่าว
รายงานของแบงก์ ออฟ อเมริกา สอดคล้องกับโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งระบุว่า ปธน.ทรัมป์ยังคงมีช่องทางตามกฎหมายอื่น ๆ ที่สามารถใช้เพื่อเรียกเก็บภาษีได้ ได้แก่การใช้มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าสหรัฐ รวมทั้งมาตรา 301, มาตรา 232 และมาตรา 338
ทั้งนี้ มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 1974 ไม่จำเป็นต้องมีการสอบสวนอย่างเป็นทางการ จึงอาจเป็นช่องทางรวดเร็วที่สุดในการหลีกเลี่ยงอุปสรรคจากคำตัดสินของศาล
"รัฐบาลทรัมป์สามารถทดแทนภาษีพื้นฐาน 10% ด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรที่สูงถึง 15% ได้อย่างรวดเร็วภายใต้มาตรา 122" นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์กล่าว แต่เสริมว่า มาตรการนี้มีอายุไม่เกิน 150 วัน ซึ่งหลังจากนี้กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังสามารถเริ่มต้นการสอบสวนภายใต้มาตรา 301 ต่อประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ เพื่อปูทางไปสู่การเรียกเก็บภาษี แต่กระบวนการนี้จะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์
ส่วนภาษีตามมาตรา 232 ซึ่งใช้กับการนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์อยู่แล้ว ก็สามารถขยายไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ได้เช่นกัน โดยกฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการบังคับใช้ หากการนำเข้านั้นเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ขณะเดียวกัน มาตรา 338 ตามกฎหมายการค้าปี 1930 ให้อำนาจประธานาธิบดีในการเรียกเก็บภาษีสูงสุดถึง 50% ต่อการนำเข้าจากประเทศที่เลือกปฏิบัติต่อสหรัฐ โดยมาตรการนี้ยังไม่เคยถูกนำมาใช้มาก่อน