สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.ย. 68)
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 31.89 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าต่อ เนื่องจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.11 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80 - 32.12 บาท/ดอลลาร์ โดย ได้รับปัจจัยหนุนจากดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าเนื่องจากตลาดคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า ขณะที่ ราคาทองในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีเงินทุนระหว่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรกว่า 4 พันล้านบาท "บาทปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่องจากหลายปัจจัยหนุน ส่งผลให้ทำนิวโลว์ในรอบ 4 ปี และแข็งค่าสุดในภูมิภาค" นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 31.75 - 32.00 บาท/ดอลลาร์ * ปัจจัยสำคัญ - เงินเยน อยู่ที่ระดับ 147.69 เยน/ดอลลาร์ จากเมื่อเช้าที่ระดับ 148.46 เยน/ดอลลาร์ - เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.1720 ดอลลาร์/ยูโร จากเมื่อเช้าที่ระดับ 1.1700 ดอลลาร์/ยูโร - ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ 1,266.11 จุด เพิ่มขึ้น 1.31 จุด (+0.10%) มูลค่าซื้อขาย 54,546.06 ล้านบาท - สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,414.12 ล้านบาท - เงินบาทไทยแข็งค่ามากสุดในรอบกว่า 4 ปี! และแข็งค่าสุดอันดับต้นเอเชีย - ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 เงินบาทปรับแข็งค่า ขึ้นประมาณ 7% อยู่ในกลุ่มนำเงินสกุลเงินภูมิภาค โดยการเคลื่อนไหวแข็งค่าของสกุลเงินภูมิภาค และค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา เป็นผล จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ จากการที่ผู้ร่วมตลาดคาดการณ์ว่าการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มี แนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่เงินบาทได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ในระยะถัดไป ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอนสูง โดย ธปท. ยังคงติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่าง ใกล้ชิด และเข้าดูแลความผันผวนของค่าเงิน เพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ ธปท. อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการใน การลดผลกระทบจากราคาทองคำต่อค่าเงินบาท - รมว.คลัง อำลาตำแหน่ง ฝากสานต่องานเรื่องภาษีสหรัฐฯ ว่า หลังจากนี้ จะต้องมีคนมาสานต่อเพื่อให้ได้ความชัดเจนที่ สุด ดังนั้นยังเชื่อมั่นต่อไปว่ากระทรวงการคลังจะยังคงเป็นหน่วยงานหลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เกิดความมั่นคง และต้องเร่ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคประชาชน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด - รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับการรับรองจาก ศาลฎีกาสหรัฐฯ แต่ยอมรับว่า หากศาลมีคำตัดสินให้เป็นโมฆะ กระทรวงการคลังอาจต้องคืนเงินจำนวนมหาศาลประเทศผู้นำเข้าที่จ่ายภาษี ให้กับสหรัฐฯ แล้ว - สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (Standard Chartered) คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลงมาถึง 0.5% ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะปรับลดลงเพียง 0.25% โดยสแตนดาร์ด ชา ร์เตอร์ด ปรับเพิ่มน้ำหนักต่อการคาดการณ์หลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอในเดือนส.ค. - ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะให้ความสนใจกับรายงานข้อมูลเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมของสหรัฐฯ เพื่อประเมินว่าต้นทุนภาษีนำเข้าที่ สูงขึ้นจะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด ขณะที่ตลาดมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 25bp ในการประชุมวันที่ 16- 17 กันยายน หลังข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนสิงหาคมอ่อนแอเกินคาด และการทบทวนตัวเลขบ่งชี้ว่าการจ้างงานเดือนมิถุนายนหดตัว - ธนาคารยูโอบี (UOB) สิงคโปร์ เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียนประจำปีภาพรวมปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมี ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและการเงินส่วนบุคคล โดยผู้บริโภคเวียดนามมีความเชื่อมั่นสูงนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนไทยและสิงคโปร์ความเชื่อ มั่นผู้บริโภคต่ำสุด