สหรัฐกำลังเผชิญภาวะการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ที่อาจยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ โดยการชัตดาวน์ได้ย่างเข้าสู่วันที่ 35 ในวันนี้ (4 พ.ย.) ซึ่งเทียบเท่ากับสถิติสูงสุดเดิมที่เกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งสมัยแรก
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์เคยสร้างสถิติชัตดาวน์นานถึง 35 วันในระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม 2561-25 มกราคม 2562 ซึ่งเป็นระยะเวลาชัตดาวน์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ท่ามกลางความขัดแย้งเกี่ยวกับการสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนระหว่างสหรัฐและเม็กซิโก ซึ่งจบลงด้วยการที่สภาคองเกรสยอมผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว โดยแลกกับการที่งบประมาณฉบับดังกล่าวไม่มีการตั้งวงเงินสำหรับการสร้างกำแพงตามที่ปธน.ทรัมป์เรียกร้อง
ล่าสุด ปธน.ทรัมป์ยังคงไม่แสดงท่าทีอ่อนข้อ โดยกล่าวว่า เขา "จะไม่ยอมถูกบีบ" จากพรรคเดโมแครตให้ขยายเงินอุดหนุนตามกฎหมาย Affordable Care Act หรือที่รู้จักในชื่อ "โอบามาแคร์" ก่อนที่พรรคเดโมแครตจะผ่านงบประมาณเพื่อให้มีการเปิดหน่วยงานรัฐบาลอีกครั้ง
'เรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขอย่างแน่นอน สุดท้ายพวกเขาก็ต้องโหวตให้งบประมาณผ่าน แต่ถ้าพวกเขาไม่โหวต นั่นก็เป็นปัญหาของพวกเขาเอง' ปธน.ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ของสถานี CBS เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
การชัตดาวน์ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม หลังจากที่พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันไม่สามารถตกลงกันเกี่ยวกับร่างกฎหมายงบประมาณที่จะทำให้รัฐบาลสามารถเปิดทำการจนถึงวันที่ 21 พ.ย. ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายทั่วประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐหลายพันคน รวมถึงเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ ต้องทำงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน
สมาคมสายการบินแห่งอเมริกาเปิดเผยว่า นับตั้งแต่การชัตดาวน์เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ผู้โดยสารมากกว่า 3.2 ล้านคนต้องเผชิญกับเที่ยวบินล่าช้าหรือถูกยกเลิก เนื่องจากการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศกว่า 13,000 คน และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยด้านการขนส่งกว่า 50,000 คนต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และทำให้เที่ยวบินหลายหมื่นเที่ยวได้รับผลกระทบ
นายฌอน ดัฟฟี่ รัฐมนตรีคมนาคมสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลจะสั่งปิดน่านฟ้าทั้งหมดโดยทันที หากเห็นว่าการบินไม่ปลอดภัย
ด้านสมาคมการท่องเที่ยวสหรัฐ และองค์กรธุรกิจท่องเที่ยวอีกหลายร้อยแห่งได้ส่งจดหมายถึงสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันจันทร์ โดยระบุว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของสหรัฐได้สูญเสียรายได้ไปแล้วกว่า 4 พันล้านดอลลาร์จากการชัตดาวน์
จดหมายดังกล่าวยังเตือนว่า "วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ซึ่งเป็นช่วงการเดินทางที่คึกคักที่สุดของปี กำลังจะมาถึง ผลกระทบจากการชัตดาวน์จะสร้างความเดือดร้อนต่อผู้เดินทางชาวอเมริกันนับล้านคน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อชุมชนทั่วทุกมลรัฐ" พร้อมเรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อเปิดหน่วยงานรัฐบาลอีกครั้งโดยเร็วที่สุด
สำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ระบุว่า ภาวะชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อในครั้งนี้อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐคิดเป็นมูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์ถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยขึ้นอยู่กับว่าจะดำเนินไปอีกยาวนานเพียงใด
นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงยังรวมถึงชาวอเมริกันที่ยากไร้จำนวนกว่า 42 ล้านคนที่ต้องพึ่งพาโครงการสวัสดิการอาหาร (SNAP) หรือโครงการสแตมป์อาหาร
นายฮาคีม เจฟฟรีส์ แกนนำพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวหาว่า รัฐบาลทรัมป์และพรรครีพับลิกันกำลัง "ใช้ความหิวเป็นอาวุธทางการเมือง" ด้วยการระงับงบประมาณสำหรับโครงการอาหารช่วยเหลือเด็ก ผู้สูงอายุ ทหารผ่านศึก และสตรี
อย่างไรก็ดี รัฐบาลทรัมป์ประกาศว่าจะจัดสรรงบประมาณบางส่วนให้กับโครงการ SNAP สำหรับเดือนพฤศจิกายน หลังจากผู้พิพากษามีคำสั่งให้รัฐบาลต้องดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศต่อไป
กระทรวงเกษตรสหรัฐระบุว่า ทางกระทรวงฯ จะใช้งบประมาณสำรองจำนวน 4.65 พันล้านดอลลาร์เพื่อใช้จ่ายในโครงการ SNAP สำหรับเดือนพฤศจิกายน ซึ่งสามารถครอบคลุมราว 50% ของครัวเรือนที่มีสิทธิ์ในปัจจุบัน
ที่ผ่านมา วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตได้ลงมติคัดค้านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวที่เสนอโดยพรรครีพับลิกันถึง 13 ครั้ง ซึ่งจะใช้ต่ออายุการใช้จ่ายของรัฐบาลไปจนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน โดยยืนกรานว่าปธน.ทรัมป์และพรรครีพับลิกันต้องเจรจากับพวกเขาก่อน
ด้านนายจอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา กล่าวว่า เขามองในแง่ดีว่า รัฐบาลจะกลับมาเปิดทำการได้ภายในสัปดาห์นี้
'ตามประสบการณ์ของผมเกี่ยวกับสถานการณ์แบบนี้ ผมคิดว่าเรากำลังเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของทางตันแล้ว แต่ถ้าเรายังไม่เห็นความคืบหน้าหรือสัญญาณบางอย่างภายในกลางสัปดาห์นี้ ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะจบทุกอย่างได้ก่อนสิ้นสุดสัปดาห์' นายธูนกล่าว