ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในวันนี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขการปลดพนักงานจำนวนมากในภาคเอกชนสหรัฐ ซึ่งแม้นักลงทุนบางส่วนมองว่าจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า แต่ก็สะท้อนถึงตลาดแรงงานและเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ
ณ เวลา 21.53 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลบ 88.35 จุด หรือ 0.18% สู่ระดับ 47,794.55 จุด
ตลาดจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 9-10 ธ.ค. ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของเฟดในปีนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันในการประชุมรอบนี้
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 89.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมวันที่ 10 ธ.ค. และให้น้ำหนัก 10.8% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 3.75-4.00%
ทั้งนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า ภาคเอกชนสหรัฐลดการจ้างงาน 32,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน โดยธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบมากที่สุด
ภาวะการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน ย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 40,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 47,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม
นอกจากนี้ Challenger, Gray & Christmas ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการจ้างงาน เปิดเผยว่า การประกาศเลิกจ้างพนักงานของภาคเอกชนในสหรัฐพุ่งทะลุ 1 ล้านตำแหน่งนับตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างของบริษัทเอกชน, การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งการใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐ
Challenger เปิดเผยว่า ภาคเอกชนประกาศเลิกจ้างพนักงาน 71,321 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน แม้ลดลงจากจำนวน 153,074 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดของเดือนตุลาคมในรอบ 22 ปี แต่ส่งผลให้ยอดรวมตั้งแต่ต้นปี 2568 พุ่งขึ้นสู่ระดับ 1.17 ล้านตำแหน่ง โดยสูงกว่าช่วง 11 เดือนแรกของปีที่แล้วถึง 54% และเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ Verizon ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจสื่อสารของสหรัฐ ประกาศปลดพนักงานมากกว่า 13,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งได้รับการผลักดันจากนวัตกรรม AI ประกาศลดพนักงาน 12,377 ตำแหน่งในเดือนดังกล่าว ส่งผลให้ยอดรวมการปลดพนักงานตั้งแต่ต้นปี 2568 ของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน ขณะที่การปลดพนักงานโดยอ้างสาเหตุจาก AI มีจำนวนมากถึง 54,694 ตำแหน่งในปีนี้
นอกจากนี้ ภาษีศุลกากรถูกระบุว่าเป็นสาเหตุของการปลดพนักงานกว่า 2,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน และเกือบ 8,000 ตำแหน่งตั้งแต่ต้นปี ส่วนสาเหตุที่ถูกอ้างมากที่สุดสำหรับเดือนพฤศจิกายนคือการปรับโครงสร้างบริษัท ตามด้วยการปิดกิจการ และสภาวะตลาด หรือเศรษฐกิจ
'แผนการเลิกจ้างพนักงานมีจำนวนลดลงในเดือนที่แล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณในเชิงบวก อย่างไรก็ดี ตัวเลขการเลิกจ้างมากกว่า 70,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายนเคยเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้นนับตั้งแต่ปี 2551 คือในปี 2551 และปี 2565' แอนดี ชาลเลนเจอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสถานที่ทำงานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ของ Challenger, Gray & Christmas กล่าว
นอกจากนี้ แนวโน้มการจ้างงานในปีนี้ก็ซบเซาเช่นกัน โดยรายงานของ Challenger ระบุว่า นายจ้างประกาศการจ้างงาน 497,151 ตำแหน่ง ลดลง 35% จากช่วงเดียวกันของปี 2567
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตามาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐ หลังจากนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงสามารถเดินหน้าจัดเก็บภาษีศุลกากรได้ ไม่ว่าผลการพิจารณาของศาลฎีกาจะออกมาอย่างไรก็ตาม
ทั้งนี้ ศาลฎีกาสหรัฐกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีที่ว่า ปธน.ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือไม่ในการบังคับใช้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
นายเบสเซนต์กล่าวว่า รัฐบาลสามารถใช้อำนาจในหลายมาตราตามกฎหมายการค้าปี 1962 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีอย่างกว้างขวางในการจัดการประเด็นภาษีนำเข้า
'เราสามารถสร้างโครงสร้างภาษีศุลกากรแบบเดิมด้วยมาตรา 301, 232 และ 122' นายเบสเซนต์กล่าวบนเวทีในงาน New York Times DealBook Summit เมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.)
ต่อคำถามที่ว่า รัฐบาลจำเป็นต้องใช้มาตรการเหล่านั้นอย่างถาวรหรือไม่ นายเบสเซนต์ตอบว่า 'ถาวร'
แม้มาตรา 122 ให้อำนาจในการจัดเก็บภาษีได้เพียง 150 วัน แต่มาตรา 301 และ 232 ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่แน่ชัด
นอกจากนี้ นายเบสเซนต์ยังอ้างถึงกฎหมาย IEEPA ซึ่งมอบอำนาจด้านภาษีอย่างกว้างขวางแก่ประธานาธิบดีสหรัฐ แม้ว่าการใช้กฎหมายนี้จะเป็นประเด็นที่ศาลฎีกากำลังตรวจสอบอยู่ก็ตาม
นายเบสเซนต์ยังได้กล่าวถึงความสำเร็จของรัฐบาลสหรัฐในการใช้มาตรการภาษีศุลกากร
'เพราะการบังคับใช้ภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล ทำให้จีนเริ่มใช้ความพยายามอย่างจริงจังในการหยุดยั้งการลักลอบนำเข้ายาเสพติดชนิดนี้เข้าสู่สหรัฐ'
นายเบสเซนต์กล่าวว่า เขายังคงเชื่อว่าสหรัฐมีโอกาสสูงที่จะชนะคดีในชั้นศาลฎีกา
ส่วนในประเด็นอื่นนั้น นายเบสเซนต์หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับผู้ที่ปธน.ทรัมป์จะเลือกมาเป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนต่อไป และกล่าวถึงอำนาจจำกัดของประธานเฟดในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย
'สิ่งสำคัญคือ เฟดเป็นคณะกรรมการ และยังมีผู้ลงคะแนนเสียงจากธนาคารกลางในภูมิภาคอื่น ๆ ประธานเฟดมีอำนาจในการเริ่มประเด็นและชี้นำการอภิปราย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาหรือเธอมีคะแนนเสียงเพียงหนึ่งเสียงเท่านั้น'
ก่อนหน้านี้ นายเบสเซนต์กล่าวว่า เขาคิดว่าปธน.ทรัมป์อาจตัดสินใจเลือกประธานเฟดคนใหม่ก่อนช่วงเทศกาลคริสต์มาส แต่ล่าสุด ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาอาจตัดสินใจประเด็นดังกล่าวในช่วงต้นปี 2569