ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.65/66 อ่อนค่าจากช่วงเช้า หลังกนง.คงดอกเบี้ยตามตลาดคาด

          นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.65/66 บาท/ดอลลาร์ จากช่วง
เช้าเปิดตลาดที่ระดับ 32.63 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทและสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคปรับตัวแข็งค่า ตามดอลลาร์ที่อ่อนค่า
จากปัจจัยสงครามการค้า ประกอบกับปัจจัยเรื่องราคาทองคำที่ผันผวน โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 32.54 - 32.66 บาท/ดอลลาร์
          สำหรับปัจจัยเรื่องผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย มติกนง. ออกมาว่ายังคงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายไว้ที่ 1.75% ซึ่งเป็นไปตามที่นักลงทุนคาดไว้ จึงไม่ได้ส่งผลต่อตลาดมากนัก
          นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.50 - 32.80 บาท/ดอลลาร์

          *  ปัจจัยสำคัญ
          - เงินเยน อยู่ที่ระดับ 145.64/68 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 144.62 เยน/ดอลลาร์
          - เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.1595/1596 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1630 ดอลลาร์/ยูโร
          - ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ 1,107.69 จุด เพิ่มขึ้น 7.68 จุด (+0.70%) มูลค่าซื้อขาย 62,662.66 ล้านบาท
          - สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,662.08 ล้านบาท
          - คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี ทั้งนี้ 1 
เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษา
เสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน โดยคณะกรรมการฯ ประเมินว่า แนว
โน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง และพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้ม และความเสี่ยงของเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อใน
ระยะข้างหน้า
          - คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 68 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.3% และปี 69 
ขยายตัวที่ 1.7% โดยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ 2.3% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากข้อมูลเศรษฐกิจจริงในไตรมาสที่ 1 และเครื่องชี้
เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ โดยการส่งออกที่ขยายตัวได้สูง จากกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าที่มี
การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ส่งผลบวกต่อภาคการผลิตและภาคบริการที่เกี่ยวข้อง
          - ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) คาดว่า มีโอกาสที่กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในไตรมาส 3 ลงมาอยู่ที่ 1.50% ภายใน
สิ้นปีนี้ ด้าน "กรุงศรีโกลบอลมาร์เก็ตส์" ยังคงคาดการณ์ว่า จะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ในช่วงครึ่งหลังของปี 68 
เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตที่ไม่สดใสท่ามกลางหลากหลายปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ
          - ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานสรุปความคิดเห็น (Summary of Opinions) ของกรรมการ BOJ โดย
ระบุว่า ในการประชุมเมื่อวันที่ 16-17 มิ.ย.ที่ผ่านมา กรรมการ BOJ ได้หารือกันเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่กำลังปรับตัวขึ้นรวดเร็วกว่าที่คาด
การณ์ไว้ ขณะเดียวกัน กรรมการยังคงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการระมัดระวังเกี่ยวกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากมาตรการ
ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
          - หนึ่งในกรรมการบอร์ดธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งมีแนวคิดสายเหยี่ยว (Hawkish) กล่าวว่า BOJ อาจจำเป็นต้องปรับ
ขึ้นอัตราดอกเบี้ย "อย่างเด็ดขาด" เพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น แม้จะยังมีความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ 
ก็ตาม โดยเขามองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เป้าหมายเสถียรภาพด้านราคา 2% ของญี่ปุ่นจะบรรลุได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
          - กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในสหรัฐฯ ช่วงไตรมาสแรกของปี 
2568 ลดลงอย่างหนักเหลือ 5.28 หมื่นล้านดอลลาร์ จาก 7.99 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสก่อนหน้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางธุรกิจ
ที่เพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องมาจากแผนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์