องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ออกรายงานในวันนี้ ระบุว่า กลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำจะยุติวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันภายในสิ้นปี 2569 ซึ่งบ่งชี้ว่าธนาคารกลางส่วนใหญ่ของโลกมี "ขอบเขตจำกัด" สำหรับการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม แม้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงก็ตาม
ทั้งนี้ OECD คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 2 ครั้งภายในสิ้นปี 2569 ก่อนที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25–3.50% ตลอดปี 2570
นอกจากนี้ OECD ระบุว่า ยูโรโซนและแคนาดาจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ขณะที่ญี่ปุ่นจะดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเงินเฟ้อกำลังทรงตัวที่ระดับ 2%
ส่วนในสหราชอาณาจักร OECD คาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะยุติลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 พร้อมกับคาดว่า ธนาคารกลางออสเตรเลียจะยุติการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2569
OECD ชี้ว่า ในหลายประเทศ อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจำเป็นต้องอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อให้เงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม เนื่องจากหนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับสูงกว่าในอดีต
OECD ระบุว่า เศรษฐกิจโลกสามารถรับแรงกระแทกจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ดีกว่าที่คาด โดยเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.2% ในปี 2568 ก่อนที่จะชะลอตัวลงเหลือ 2.9% ในปี 2569 และกลับมาขยายตัว 3.1% ในปี 2570 ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
หนึ่งในปัจจัยสนับสนุนคือการพุ่งขึ้นของการลงทุนเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งช่วยยกระดับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมในสหรัฐ และหลายประเทศในเอเชีย
ทั้งนี้ OECD คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 2% ในปี 2568 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนกันยายนที่ระดับ 1.8%
อย่างไรก็ดี OECD คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวสู่ระดับ 1.7% ในปีหน้า เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการภาษีทวีความรุนแรงขึ้น
OECD ยังได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ในปี 2568 ของยูโรโซนและญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะมีการขยายตัว 1.3%