สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ธ.ค. 68)
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.03 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดเมื่อ
เช้าที่ระดับ 31.89 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.87-32.07 บาท/ดอลลาร์
เงินบาทอ่อนค่า เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค ปัจจัยเนื่องจากระหว่างวันสกุลเงินดอลลาร์เริ่มฟื้น ประกอบ
กับราคาทองคำย่อลง
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามคืนนี้ คือจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันจันทร์ไว้ที่ 31.90-32.15 บาท/ดอลลาร์
* ปัจจัยสำคัญ
- เงินเยน อยู่ที่ระดับ 154.90 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 155.31 เยน/ดอลลาร์
- เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.1670 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1660 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ 1,273.77 จุด ลดลง 1.05 จุด (-0.08%) มูลค่าซื้อขาย 38,508.08 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,420.18 ล้านบาท
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลัง ในการแก้ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การให้ร้านทองรายงานธุรกรรม โดยจะเร่งรับฟังความคิดเห็น ภายในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งการรายงานธุรกรรมการซื้อขายทองคำ เบื้อง
ต้นจะมีเกณฑ์ด้านรายได้ มากำหนดว่าร้านใดจะเข้าข่ายการรายงานข้อมูลบ้าง ซึ่งไม่ได้ครอบคลุมทุกร้านทอง
- ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท YLG ประเมินว่า ในปี 69 ธนาคารกลางทั่วโลกจะยังคงเดินหน้านโยบายการซื้อ
ทองคำต่อไป และจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงในช่วงนี้จะเป็น 2
ปัจจัยหลักสำคัญที่ผลักดันราคาทองคำให้ทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยให้เป้าหมายราคาทองคำปี 69 ที่ 4,900-4,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอย
ออนซ์ หรือหากคิดเป็นราคาทองคำในประเทศโดยคำนวณจากค่าเงินบาทที่ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีเป้าหมายที่ 75,000-
68,000 บาทต่อบาททองคำ
- ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า คาดราคาทองคำโลกภายในสิ้นปี 68 นี้ จะเคลื่อนไหว
บริเวณ 4,200 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ส่วนในปี 69 แม้ว่าราคาทองคำจะอยู่ในระดับสูงแล้ว แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำขยับขึ้น
ต่อได้ เพียงแต่ผลตอบแทนอาจไม่ได้สูงเท่ากับในปี 68 โดยคาดว่าราคาทองคำโลก สิ้นปี 69 อาจมีโอกาสแตะที่ระดับ 4,700 ดอลลาร์ต่อ
ทรอยออนซ์
- ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือนพ.
ย. 68 พบว่า อยู่ที่ระดับ 53.2 จากเดือนต.ค. ที่ระดับ 51.9 เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในรอบ 10 เดือน เนื่องจากผู้
บริโภคมีความหวังและมีความเชื่อมั่นว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะทำให้ฟื้นตัวได้ในระยะสั้น แม้ว่ายังมีความกังวลเกี่ยวกับผล
กระทบทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ สงครามการค้าและสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่อาจส่งผลกระทบให้
เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวได้ช้าก็ตาม
- ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ระบุว่า จีนจะเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดให้การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(GDP) ของโลกชะลอลงเล็กน้อยสู่ 2.4% ในปี 2569 จากระดับ 2.5% ที่คาดไว้ในปีนี้ โดยแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนจะมีน้ำหนักมากกว่า
การฟื้นตัวเล็กน้อยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการเติบโตคงที่ของยูโรโซน
- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ระบุว่า การดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไปยังไม่แน่นอน เนื่องจากยากที่จะระบุระดับ
ของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง (Neutral Rate of Interest) ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจว่าควรปรับขึ้นดอกเบี้ยไปถึงจุดใด
จึงจะเหมาะสมที่สุด
- ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) แถลงต่อรัฐสภายุโรปว่า อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศยูโรโซนมีแนวโน้มที่จะขยับเข้า
ใกล้ระดับเป้าหมาย 2% ของ ECB ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ถึงแม้แนวโน้มโดยรวมยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เกี่ยวกับนโยบาย
ภาษีศุลกากร