ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม พ.ย. หดตัว 8.27% รับผลสงครามการค้า

สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพ.ย. 62 อยู่ที่ 96.77 หดตัว 8.27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอยู่ในระดับที่ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า สาเหตุหลักจากผลกระทบสงครามการค้าที่ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนี MPI ได้แก่ รถยนต์และเครื่องยนต์ น้ำมันปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ น้ำมันปาล์ม เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน

พร้อมคาดดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในปี 63 จะกลับมาขยายตัวได้ 2-3% ขณะที่ GDP ภาคอุตสาหกรรมคาดโต 1.5-2.5%

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการ สศอ. เปิดเผยถึงสาเหตุหลักที่ ดัชนี MPI เดือนพ.ย.หดตัวลงมาจากผลกระทบจากสงครามทางการค้าทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง เมื่อดูจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2562 อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีน ส่งผลต่อเนื่องมายังการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนพ.ย. หดตัวลง 6.37%

สำหรับการผลิตที่หดตัวลงส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นน้ำมัน 2 โรง โดยหากได้จำลองสถานการณ์การผลิตของโรงกลั่นที่ปิดซ่อมบำรุงดังกล่าวให้มีการดำเนินการผลิตเป็นปกติเท่ากับเดือนก่อนหน้าจะส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวลงเพียง 6.11% ซึ่งการปิดซ่อมเป็นไปตามแผนงานในการเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่อยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตซึ่งจะรองรับความต้องการของตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวในปีหน้า รวมถึงให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัย

โดยอุตสาหกรมรถยนต์ และเครื่องยนต์ การผลิตลดลง 21.59% จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก ทำให้มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง ประกอบกับกำลังซื้อในประเทศชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งมาจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

น้ำมันปิโตรเลียม การผลิตลดลง 18.50% จากการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันจำนวน 2 ราย ส่งผลให้การผลิตปรับตัวลดลง

ผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ การผลิตลดลง 11.10% จากการผลิตยางแผ่น และยางแท่งลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ทำให้ผู้ผลิตบางรายชะลอการผลิตเนื่องจากรายได้ที่เป็นเงินบาทลดลง

ขณะที่อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายนขยายตัว ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ และชิ้นส่วน การผลิตเพิ่มขึ้น 10.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาซึ่งจะมีการส่งมอบในไตรมาสแรกของปี 2563 ประกอบกับตลาดในประเทศยังขยายตัวได้ดี

เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน การผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น 18.07% เนื่องจากในปีนี้มีการผลิตกลับมาเป็นปกติจากที่เดือนพฤศจิกายนในปีก่อนมีการหยุดซ่อมบำรุงของผู้ผลิตหลายราย

เบียร์ การผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

นายทองชัย กล่าวว่า สถานการณ์การผลิตอยู่ในระดับภาวะทรงตัว ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยที่ส่งผลลบจากภายนอกก็ตาม โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนนี้เพิ่มขึ้น 0.76% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

นอกจากนี้ อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 63.17% ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนที่ผ่านมา ประกอบกับข้อมูลจำนวนเงินลงทุนในกิจการใหม่และขยายกิจการของกรมโรงงานอุตสาหกรรมในช่วงม.ค. – 24 ธ.ค. 62 มีมูลค่า 471,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญที่มีมูลค่า 366,802 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลบวกต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคต

ขณะที่ ดัชนี MPI ช่วง 11 เดือนปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.) หดตัว -3.6% จากเดิมที่คาดว่าจะหดตัว -3.8% ส่วนในเดือนธ.ค.62 คาดดัชนี MPI หดตัว -7% ส่วนปี 62 คาดหดตัว -3.8% จากเดิมคาดทั้งปีโต 0-1% ซึ่งลดลงจากเมื่อช่วงต้นปีที่ สศอ.เคยประเมินว่าทั้งปีจะขยายตัวได้ 2-3% ส่วน GDP ภาคอุตสาหกรรมทั้งปี 62 คาดว่าจะหดตัว -1.2% จากเดิมที่คาดว่า 0-1%

สำหรับในปี 2563 สศอ. ได้คาดการณ์ GDP ภาคการผลิตในปี 2563 จะขยายตัว 1.5 – 2.5% และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัว 2-3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยคาดแนวโน้มจะดีขึ้นและเห็นบวกหลังไตรมาส 2/63 เพราะคาดว่าสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯหาข้อยุติได้, โรงกลั่นที่ปิดซ่อมและปรับปรุง 2 โรง จะกลับมาดำเนินการตามปกติได้ 1 โรงในเดือนม.ค.63 และมีสัญญาณการลงทุนที่เห็นได้จากข้อมูลจำนวนเงินลงทุนในกิจการใหม่และขยายกิจการของกรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.) ช่วงเดือนม.ค.-24 ธ.ค.2562 มีมูลค่า 471,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญที่มีมูลค่า 366,802 ล้านบาท เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคต

นอกจากนี้ ในปี 63 สศอ.ได้รับการจัดสรรงบบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตจำนวน 1,200 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อาหารแห่งอนาคต ดิจิทัล หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรม/บริการทางการแพทย์ ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในอนาคต

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ธ.ค. 62)

Back to Top