HPT เตรียมทบทวนเป้ารายได้ปี 63 จากเดิมคาดโต 25-30%

น.ส.นิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ กรรมการและผู้อำนวยการฝ่านการตลาด บมจ.โฮมพอตเทอรี่ (HPT) เปิดเผยกับ”อินโฟเควสท์”ว่า บริษัทเตรียมทบทวนเป้าหมายรายได้ในปีนี้จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 25-30% เนื่องจากขณะนี้ไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศสหรัฐฯและยุโรปได้หลังติดปัญหาเรื่องการขนส่งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทต้องชะลอการส่งมอบสินค้าออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

ทั้งนี้ แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 คาดว่าน่าจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกสินค้าเริ่มชะลอลง โดยผลกระทบเกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือน ก.พ.-มี.ค.ที่ผ่านมา

ขณะที่ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ในเดือน เม.ย.ของทุกปี ปกติบริษัทจะมีการปิดปรับปรุงเครื่องจักรเป็นเวลา 10 วัน เพื่อเตรียมพร้อมกลับมาเดินเครื่องผลิตได้เต็มประสิทธิภาพอีกครั้งหลังจากนั้น โดยปัจจุบันบริษัทมีออเดอร์รองรับการผลิตเต็มที่ตั้งแต่ต้นปีไปจนถึงเดือน พ.ค.63 และยังไม่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงนี้ แต่จะผลิตตามออเดอร์ที่ได้รับมา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

“รายได้ปีนี้น่าจะลดลงอยู่แล้ว จากเดิมที่คาดโต 25-30% จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งเราเตรียมทบทวนเป้าหมายในปีนี้ใหม่หลังสถานการณ์จบลง ขณะเดียวกันเราก็ไม่มีการเพิ่มกำลังการผลิต หรือเร่งผลิตสินค้าในช่วงนี้ เป็นเพียงการผลิตตามออเดอร์ที่ได้รับมาเพื่อให้สอดคล้องกัน”

น.ส.นิจวรรณ กล่าว

สำหรับบริษัทย่อย บริษัท เซ็นทรัล ฮอสพิแทลลิที จำกัด (CHL) ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้และอุปกรณ์สำหรับโรงแรมและร้านอาหาร ที่ HPT ถือหุ้นในสัดส่วน 98% คาดว่ายอดขายโดยรวมน่าจะปรับตัวลดลง เนื่องจากปัจจุบันฐานลูกค้ากลุ่มโรงแรม ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ต้องปิดกิจการชั่วคราว โดยสัดส่วนยอดขายสินค้าให้กับลูกค้ากลุ่มโรงแรมคิดเป็น 30% ของยอดขายรวม ขณะที่กลุ่มลูกค้าร้านอาหาร แม้มีการปิดพื้นที่นั่งรับประทานอาหาร แต่ยังสามารถขายสินค้าในรูปแบบเดลิเวอรี่ได้

อย่างไรก็ตาม CHL ก็ได้ปรับกลยุทธ์มาเน้นขายสินค้าในกลุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อ และเจลแอลกอฮอล์ รวมถึงขายผ่านออนไลน์มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยอดขายดังกล่าวคงชดเชยไม่ได้ทั้งหมด

น.ส.นิจวรรณ กล่าวว่า บริษัทเตรียมเดินหน้าลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาโรงงานผลิตเซรามิกในช่วงปลายปีนี้ เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้า โดยคาดจะใช้เงินลงทุนราว 18 ล้านบาท น่าจะทำให้บริษัทสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าลงราว 80% จึงน่าจะส่งผลดีต่ออัตรากำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้น คาดน่าจะเห็นภาพชัดเจนได้ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 เม.ย. 63)

Tags: , , , ,
Back to Top