TISCO เผยรายได้หดตามเศรษฐกิจชะลอตัว-แนวโน้ม NPL สูงขึ้น

นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ปรับตัวลดลง 20.1% หรือมีกำไรสุทธิ 2,819 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2/63 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวลดลง 25.8% หรือมีกำไรสุทธิ 1,333 ล้านบาท

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจทั่วโลก จากการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก เพราะนอกจากจะกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม สำหรับประเทศไทยเศรษฐกิจยังคงหดตัวสูง แม้การควบคุมโรคภายในประเทศจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังไม่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ

“ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับทุกคน สิ่งที่ทิสโก้ให้ความสำคัญมาตลอด คือการบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งทิสโก้จะติดตามดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดผ่านมาตรการต่าง ๆ ใน “โครงการบรรเทา” เช่น การยืดระยะเวลาการชำระหนี้ การพักชำระเงินต้น การปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น จนกว่าลูกค้าจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ ซึ่งยอมรับว่ายังต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ทิสโก้ได้ทยอยตั้งสำรองหนี้อย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ไตรมาสแรกที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่าจะสามารถบริหารจัดการและผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้” นายสุทัศน์ กล่าว

นายสุทัศน์ กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจภายใต้ “ภาวะปกติใหม่ (New Normal)” กลุ่มทิสโก้ยังคงดำเนินการอย่างระมัดระวังเสมอ แม้จะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปีนี้จะมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยกลับมาเปิดดำเนินการได้อีกครั้ง แต่ปัจจัยเสี่ยงด้านลบยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก อาทิ ความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสอง สถานการณ์ภัยแล้ง และเสถียรภาพการเมืองในประเทศ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะหดตัวลงมาก

อย่างไรก็ตาม หากมองไปในระยะข้างหน้ากลุ่มธุรกิจที่ประเมินว่าจะมีโอกาสกลับมาเติบโตได้ดี ยังคงเป็นธุรกิจจำนำทะเบียนรถยนต์ โดยเฉพาะผ่านช่องทาง “สมหวัง เงินสั่งได้” และสินเชื่อธุรกิจที่ต้องการสภาพคล่อง ยังคงเห็นศักยภาพในการเติบโตอีกมาก

สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ในไตรมาส 2/63 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,333 ล้านบาท ลดลง 25.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/62 จากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจและปัญหาการชำระหนี้ของลูกหนี้ โดยรายได้รวมหดตัว 6.2%

โดยมีสาเหตุมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่อ่อนตัวลง โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ จากการชะลอตัวของรายได้ธุรกิจนายหน้าประกันภัย และค่าธรรมเนียมจากเงินให้สินเชื่อ ซึ่งเป็นไปตามปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ลดลงจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หดตัว ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้น จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงในภาวะดอกเบี้ยขาลง

สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (Expected Credit Loss – ECL) ยังคงอยู่ในระดับสูง เป็นไปตามระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การตั้งสำรองมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากการตั้งสำรองไปแล้วล่วงหน้าในไตรมาสก่อนหน้า

ส่วนผลการดำเนินงานงวดครึ่งปี 63 กำไรสุทธิมีจำนวน 2,819 ล้านบาท ลดลง 20.1% เมื่อเทียบกับครึ่งปี 62 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ดี รายได้ค่าธรรมเนียมของธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น ทั้งจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น และการออกกองทุนที่เพิ่มขึ้นในสภาวะที่ตลาดทุนผันผวน ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 14.9%

สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 มีจำนวน 228,165 ล้านบาท ลดลง 4.1% จากไตรมาสก่อนหน้า จากการชะลอตัวของสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อ SME ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับการใช้นโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังและเข้มงวดมากขึ้นในภาวะความเสี่ยงที่สูงขึ้น ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.28% ทั้งนี้ บริษัทมีระดับเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 155%

ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดทั้งปี โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 21.9% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 17.6% และ 4.3% ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ค. 63)

Tags: , , ,
Back to Top