อุตฯ อาหาร เผยโควิดฉุดส่งออก H1/63 หดตัว คาดพลิกฟื้นเป็นบวก H2

นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า การส่งออกอาหารของไทย ภาพรวมครึ่งปีแรกหดตัวลงเล็กน้อย 2.0% มีมูลค่า 505,584 ล้านบาท พบว่ากลุ่มสินค้าอาหารแปรรูปขยายตัวเพิ่มขึ้น (+0.1%) มีมูลค่า 238,869 ล้านบาท

ขณะที่กลุ่มสินค้าเกษตรวัตถุดิบการส่งออกหดตัวลง (-3.7%) มีมูลค่า 266,715 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกของปี 2563 การส่งออกหดตัวลง 9.1% และสามารถพลิกกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.9% ได้ในไตรมาสที่ 2 เพราะประเทศผู้นำเข้าเริ่มมีการสั่งซื้อสินค้าอาหาร เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น

สำหรับสินค้าอาหารที่ไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก ได้แก่ ไก่สดและแปรรูป (+2.1%) ปลาทูน่ากระป๋อง(+10.0%) เครื่องปรุงรส (+6.6%) และอาหารพร้อมรับประทาน (+15.8%) ส่วนสินค้าที่ส่งออกหดตัว ได้แก่ ข้าว (-14.9%) น้ำตาลทราย (-12.8%) แป้งมันสำปะหลัง (-12.2%) กุ้ง (-13.2%) สับปะรด (-1.0%) และมะพร้าว (-15.0%) ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบ (ข้าว น้ำตาลทราย แป้งมันสำปะหลัง สับปะรด) รวมถึงช่องทางจำหน่ายที่หดตัว กระทบต่อการส่งออกกุ้งและมะพร้าว (กะทิสำเร็จรูป) โดยเฉพาะช่องทางจำหน่ายในกลุ่มธุรกิจปลายน้ำอย่างโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหาร (HORECA) ที่ไม่สามารถเปิดให้บริการได้

นางอนงค์ กล่าวต่อว่า ตลาดที่ไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก ได้แก่ จีน (+27.4%) สหรัฐฯ (+14%) และโอเชียเนีย(+8.5%) ส่วนตลาดที่หดตัว ได้แก่ อาเซียน (-7.4%) ญี่ปุ่น (-2.5%) สหภาพยุโรป (-11.4%) แอฟริกา (-33.3%) และตะวันออกกลาง(-12.5%) โดยแนวโน้มการค้าอาหารโลกในช่วงครึ่งปีแรก คาดว่าจะมีมูลค่า 645,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 0.8% ตามความต้องการนำเข้าสินค้าอาหารของประเทศคู่ค้าสำคัญเพื่อรองรับสถานการณ์โควิด-19 ภาครัฐของแต่ละประเทศมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการสินค้าอาหารเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจีนที่เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ทำให้ความต้องการอาหารเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด

“แนวโน้มการส่งออกอาหารของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น การส่งออกจะพลิกกลับมาเป็นบวก จะมีมูลค่าราว 519,416 ล้านบาท ขยายตัว 3.6% โดยภาพรวมตลอดทั้งปี 2563 คาดว่าการส่งออกจะมีมูลค่า 1,025,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% สินค้าหลักที่คาดว่าจะมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไก่ ปลาทูน่ากระป๋อง เครื่องปรุงรส อาหารพร้อมรับประทาน รวมทั้งสับปะรด ที่คาดว่ามูลค่าส่งออกจะลดลง ได้แก่ ข้าว น้ำตาลทราย แป้งมันสำปะหลัง กุ้ง และมะพร้าว”

นางอนงค์กล่าว

ทั้งนี้ การคาดการณ์อยู่ภายใต้เงื่อนไขของความต้องการอาหารมีแนวโน้มฟื้นตัว หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาดำเนินงานได้มากขึ้น ช่องทางค้าปลีกขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยชดเชยการลดลงของการจำหน่ายในช่องทางโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหารได้ระดับหนึ่ง เงินบาทจะไม่แข็งค่าและไม่ผันผวนมากจนเกินไป ภายใต้กรอบ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และแรงกดดันจากภาวะขาดแคลนวัตถุดิบมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากภัยแล้งที่เริ่มคลี่คลายจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มสูงขึ้น

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงปัญหาและอุปสรรคของการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องจับตาคือ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งในช่วงต้นๆ ของความขัดแย้งไทยและประเทศในโซนอาเซียนจะได้ประโยชน์ เพราะทั้งสองฝ่ายต้องหาแหล่งซื้อทดแทนแต่เป็นเพียงระยะสั้นไม่ยั่งยืน ความยั่งยืนคือหลังจากนี้ต้องชัดเจนว่าทั้งสองประเทศจะมีนโยบายเคลื่อนย้ายการลงทุนอย่างไร การเคลื่อนย้ายการลงทุนถ้าสินค้าที่จะย้ายมามาไทยหรืออาเซียนก็ต้องดูว่ามาแล้วเพิ่มคุณค่าให้กับประเทศนั้นๆได้ดีจริงหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อการส่งออกที่จะกลับไปยังอีกประเทศหนึ่งด้วย

ส่วนสถานการณ์แรงงานในอุตสาหกรรมอาหาร ค่อนข้างนิ่ง เนื่องจากตั้งแต่แรกมาไม่มีการหยุดผลิตหรือปิดกิจการ เพราะรัฐอนุญาตให้ผลิตต่อได้ ทำให้ไม่มีแรงงานไหลออกนอกระบบ ในอุตสาหกรรมอาหารมีการปรับตัวให้สอดรับกับความต้องการของตลาด เช่น เน้นการทำ Food Service มากขึ้น ทำ Retail มากขึ้น การเพิ่มขึ้นของแรงงานในบางอุตสาหกรรม เช่น ปลากระป๋องเนื่องจากมีการเพิ่มกำลังการผลิต ขณะที่อุตสาหกรรมอื่นๆ ตัวเลขของแรงงานค่อนข้างนิ่งหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ส.ค. 63)

Tags: , , , ,
Back to Top