SIRI มั่นใจรายได้ปีนี้ตามเป้า หลังนำเทคโนโลยีช่วยงานก่อสร้าง ย่นเวลา-ลดต้นทุน

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการส่งมอบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพแก่ลูกค้า พร้อมนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาโครงการตั้งแต่ต้นปี 63 ที่ผ่านมา ทำให้โครงการต่าง ๆ ที่บริษัทพัฒนาอยู่ก่อสร้างเสร็จตามกำหนด 100% พร้อมเตรียมส่งมอบ 14 โครงการ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม มูลค่ารวมกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ภายในสิ้นปี 63

ทำให้รายได้จากการโอนของบริษัททำได้ตามเป้าหมาย 4.2 หมื่นล้านบาท โดยจะมีโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหญ่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเตรียมทยอยโอนในเดือนก.ย.นี้ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ oka HAUS มูลค่า 3.6 พันล้านบาท และโครงการ XT เอกมัย มูลค่า 8 พันล้านบาท

การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการก่อสร้างบริษัทได้นำแพลตฟอร์ม BIM (Building Information Modeling) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสร้างแบบจำลองเสมือนจริงของที่อยู่อาศัยอย่างแม่นยำ และ Primavera แพลตฟอร์มควบคุมไทม์ไลน์การพัฒนาโครงการ และ StructionSite แพลตฟอร์ม AI เก็บข้อมูลไซต์ก่อสร้างแบบละเอียด 360 องศา ทำให้การก่อสร้างสามารถทำได้รวดเร็วขึ้น

จะเห็นได้จากการที่บริษัทสามารถก่อสร้างคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่รวดเร็วมากขึ้น โดยที่ระยะเวลาการก่อสร้างคอนโดมิเนียมของบริษัทลดลงจาก 24 เดือน เป็น 22 เดือน และโครงการบ้านแนวราบระยะเวลาการสร้างลดลงจาก 12 เดือน เป็น 6 เดือน อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการผิดพลาดของงานก่อสร้างลงได้ 50%

จากปัจจัยของการนำเทคโนโลยีมาช่วยในงานก่อสร้างนั้นช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการก่อสร้างลงได้ 5% ซึ่งต้นทุนก่อสร้างคิดเป็นต้นทุนของการพัฒนาโครงการค่อนข้างมากถึง 50% การลดต้นทุนการก่อสร้างลงก็จะช่วยให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นได้ และส่งผลบวกต่อราคาขายโครงการที่บริษัทสามารถปรับลดลงมาได้เช่นกัน

ขณะเดียวกันบริษัทยังให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายตั้งแต่ก้าวแรกและครอบคลุมทุกช่วงการอยู่อาศัยผ่าน Salesforce แพลตฟอร์มการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) อันดับ 1 ของโลก, LIV-24 บริการดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มรูปแบบจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง แห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ และ Sansiri Home Service Application กับ 4 ฟีเจอร์ใหม่

ได้แก่ Community Hub พื้นที่สำหรับการสื่อสารโดยการตั้งกระทู้และแชร์กิจกรรมของลูกบ้าน, Market Place พื้นที่ซื้อ-ขายสินค้าของลูกบ้านและฟังก์ชั่น การจอง-จ่ายสถานนี EV Charger ของ CHARGE กว่า 200 จุด รวมทั้งการจองเข้าใช้บริการพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งได้นำร่องแล้วที่โครงการ XT เอกมัย

นอกจากนี้เปิดประสบการณ์เยี่ยมชมโครงการและห้องตัวอย่างเสมือนจริงได้ง่ายไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหน กับ Nodalview โซลูชั่นสร้าง Virtual Sales Gallery ผ่านสมาร์ทโฟนได้ง่ายเพียงไม่กี่วินาที พร้อมแพลตฟอร์มที่เอื้อให้พนักงานพูดคุยกับลูกค้าโดยตรง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในด้านการจัดซื้อจัดจ้างกับคู่ค้าที่มีความโปร่งใสรวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยี B2P (Blockchain Solution for Procure-to-Pay) จาก Digital Ventures

นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด บริษัทในเครือ SIRI กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้ใช้งบลงทุนไปแล้ว 50% ของงบลงทุนที่ได้รับการอนุมัติมาเมื่อในปี 61 จำนวน 1.5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพในการทำงานของแสนสิริ และช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้านของแสนสิริเพิ่มมากขึ้น

โดยเฉพาะการเสริมประสิทธิภาพของ Home Automation แอปพลิเคชั่น ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นในการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้านของแสนสิริ โดยปัจจุบันมีลูกบ้านของแสนสิริที่ใช้แอปพลิเคชั่นดังกล่าว 50,000 ราย จากจำนวนลูกบ้านทั้งหมด 120,000 ราย

นอกจากนี้ในปี 64 บริษัทจะผลักดันเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาและเทคโนโลยีที่บริษัทได้เข้าไปลงทุนให้เริ่มสร้างรายได้ให้กับบริษัท จากปัจจุบันที่บริษัทยังคงเน้นไปที่การลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ภายในบริษัทในการเพิ่มประสิทธิภาพงานก่อสร้างและงานขาย

รวมทั้งการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกบ้านที่ซื้อโครงการของแสนสิริไปเพราะในช่วงแรกตั้งแต่ปี 61-63 บริษัทมีความต้องการให้การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ทำให้ลูกบ้านของแสนสิริใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และมีความสะดวกสบาย ก่อนที่จะนำเทคโนโลยีไปนำเสนอแก่ผู้ประกอบการอื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้และผลตอบแทนเข้ามาให้กับสิริเวนเจอร์ในปีหน้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.ย. 63)

Tags: , , , , , , , , ,
Back to Top