บลจ.วี ออกกองทุน WE-OSHOP รับเทรนด์อีคอมเมิร์ซโตขาย IPO 21-25 ก.ย.

นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วี เปิดเผยว่า บริษัทออกกองทุนเปิด วี ออนไลน์ ช้อปปิ้ง แอนด์ เพย์เม้นท์ (WE-OSHOP) เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ทั่วโลก รับทิศทางตลาดการค้าปลีกของโลกที่ทำผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ (E-Commerce) ที่เติบโตอย่างมาก โดยเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 21-25 ก.ย.นี้

สำหรับกองทุน WE-OSHOP จะลงทุนผ่านกองทุนหลัก PROSHARES ONLINE RETAIL ETF ในสัดส่วน 75% เช่นบริษัท Amazon.com , Alibaba Group Holding , Qurate Retail เป็นต้น และลงทุนในหุ้นกลุ่มบริษัทที่ให้บริการเกี่ยวข้องกับการชำระเงินอิเล็กทรอนิกสื์ (Electronic Payment) ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สมาร์ทการ์ด , บัตรเติมเงิน และ กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านกองทุนหลัก IPAY ETFMG Prime Mobile Payments ETF ในสัดส่วน 25% เช่น บริษัท Paypal , Visa , Mastercard เป็นต้น

กองทุนจะใช้กลยุทธ์เชิงรุกด้วยการกระจายการลงทุน (Active Asset Allocation) ใน 26 บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯและนอกสหรัฐฯ ที่มีการเติบโตบนช่องทางอีคอมเมิร์ซ ที่มีมูลค่าทางการตลาดตั้งแต่ 500 ล้านเหรียญฯ และต้องมีมูลค่าการซื้อขายสินค้าต่อวันไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญฯ และลงทุนใน 42 บริษัททั่วโลกที่มีแนวโน้มเติบโตจากความต้องการใช้บริการชำระเงินในอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทที่ให้บริการระบบซอฟต์แวร์ประมวลผลและระบบความปลอดภัยในการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบต่าง ๆ

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานล่าสุดสะท้อนถึงการเติบโตที่ดี ในหุ้น 2 กลุ่มนี้ และด้วยกลยุทธ์ลงทุนเชิงรุกในระยะยาว ทำให้ กองทุนหลัก PROSHARES ONLINE RETAIL ETF ณ วันที่ 30 มิ.ย. ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนที่ 55.20% ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 41.89% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 35.38% และผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 13.80% ต่อปี เทียบกับดัชนี PROSHARES ONLINE RETAIL INDEX อยู่ที่ 55.48% , 42.32% , 36.08% และ 14.36% ต่อปีตามลำดับ

ส่วนกองทุนหลัก IPAY ETFMG Prime Mobile Payments ETF ณ วันที่ 30 มิ.ย. ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือนที่ -1.69% ย้อนหลัง 3 เดือนที่ 31.11% ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -1.16% และผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 14.85% ต่อปี เทียบกับดัชนี ETFMG Prime Mobile Payments INDEX อยู่ที่ 1.70% , 31.17% , -0.86% และ 15.54% ต่อปี ตามลำดับ

นายอิศรา กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ผู้บริโภคกลุ่มคนทุกช่วงวัยเข้าสู่ระบบการซื้อของและการชำระค่าบริการต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าตั้งแต่ปี 2562–2565 ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จะมีอัตราการเติบโตปีละ 19% นำโดยประเทศสหรัฐฯ , จีน , ยุโรปตะวันตก และคาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 22% ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า

เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มการขยายตัวของประชากรโลกที่เข้าถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟน หรือโมบาย โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาอย่าง เช่น อินเดีย , จีน และลาตินอเมริกา ซึ่งพบว่ามีการส่งคำส่งซื้อผ่านโทรศัพท์มือถือคิดเป็น 79% ของอีคอมเมิร์ซ ทั่วโลก คาดว่าในปี 2566 ประชากรอีกกว่า 5 พันล้านคนจะมีการบริโภคผ่านตลาดอีคอมเมิร์ซ ซึ่งทำให้ยอดขายผ่านออนไลน์ทั่วโลกจะมีมูลค่ามากกว่า 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะเดียวกันไม่เพียงแต่จะทำให้ร้านค้าปลีกเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น แต่ยังทำให้ธุรกรรมการชำระเงินผ่านดิจิทัลปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยจะส่งผลให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงิน (Payment) มีแนวโน้มเข้าสู่การใช้แพลตฟอร์มที่มีระบบการจัดการที่ซับซ้อนมากขึ้นเพื่อรองรับปริมาณธุรกรรมจำนวนมาก รวมทั้งการทำรายการระหว่างประเทศ และเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้านข้อมูลของผู้ทำธุรกรรมที่จะสูงขึ้นเพื่อรองรับความสะดวกและปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการ

โดยสัดส่วนการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล และโมบายวอลเล็ต คิดเป็น 41.8% ของการทำธุรกรรมชำระเงินอีคอมเมิร์ซทั่วโลก และจะเพิ่มขึ้นเป็น 52.2% ในปี 2566 ทำให้มีหลากหลายบริษัทเข้ามาช่วยเพิ่มช่องทางการดำเนินการและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบสนองต่อการใช้บริการในทุกสถานที่ภายใต้ความปลอดภัยในการรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการ ด้วยเทคโนโลยีที่ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภครวมทั้งผู้ประกอบธุรกิจที่เข้าสู่ระบบการซื้อขายและชำระเงินออนไลน์ออนไลน์มากขึ้นในอนาคต ทำให้ธุรกิจค้าปลีกและผู้ให้บริการชำระเงินมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้นในอนาคต

“การลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกออนไลน์และกลุ่มธุรกิจที่ให้บริการชำระเงินทั่วโลก กับ กองทุนเปิด วี ออนไลน์ ช้อปปิ้ง แอนด์ เพย์เม้นท์ มีความน่าสนใจในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ขณะเดียวกันท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 รอบ 2 ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ เป็นปัจจัยหนุนให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มวัยทั่วโลกทำธุรกรรมออนไลน์เพิ่มขึ้น และในระยะยาวแม้ว่าโควิด-19 จะคลี่คลายลงหรือหมดไป ทำให้ทั่วโลกกลับมาเปิดประเทศดำเนินเศรษฐกิจ แต่การใช้บริการซื้อสินค้าและชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ จะยังเติบโตต่อไป เนื่องจากตอบสนองความต้องการผู้บริโภคด้านความสะดวกสบายในการจับจ่ายที่เปลี่ยนไป”

นายอิศรา กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.ย. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top