กรมควบคุมโรค เผยสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทั่วโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง วันนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 316,256 ราย ผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก 34,824,899 ราย สำหรับประเทศไทย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ และเข้าสู่ระบบการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการทุกราย

อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อบางรายไม่แสดงอาการจึงอาจมีผู้ติดเชื้อปะปนอยู่ในชุมชนได้ รวมทั้งสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนติดกับประเทศไทย ที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด หากมีผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย อาจทำให้เกิดการระบาดของโรคโควิดในระลอกใหม่ ขอให้ประชาชนการ์ดอย่าตก รักษาวินัยในการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างจากผู้อื่น หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนแออัด และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการผ่าน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง หากพบผู้ติดเชื้อจะสามารถติดตามตัวผู้สัมผัสมาตรวจและเฝ้าระวังโรคได้ง่ายและรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันควบคุมโรค

สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (อินเดีย 2 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย, รัสเซีย 1 ราย, สหรัฐอเมริกา 3 ราย, ปากีสถาน 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,386 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.50 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 138 รายหรือร้อยละ 3.85 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,583 ราย

สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก

อินเดีย 2 ราย รายแรก เป็นเพศชาย อายุ 35 ปี สัญชาติอินเดีย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 23 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 8 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล

อีกรายเป็นเพศชาย อายุ 43 ปี สัญชาติอินเดีย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 28 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 5 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย เป็นเพศหญิง อายุ 27 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 30 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่จังหวัดชลบุรี ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 2 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล

รัสเซีย 1 ราย เป็นเพศหญิง อายุ 23 ปี สัญชาติลาว อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 28 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 30 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร

สหรัฐอเมริกา 3 ราย รายแรก เป็นเพศชาย อายุ 23 ปี สัญชาติอเมริกัน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 17 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร ตรวจพบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 30 กันยายน 2563 (วันที่ 13 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร

อีก 2 ราย เป็นเพศหญิง สัญชาติอเมริกัน อาชีพครูอายุ 40 ปี และบุตรสาวอายุ 5 ปี เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 30 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร และตรวจพบเชื้อในวันแรกที่เข้ารับการกักตัว วันที่ 30 กันยายน 2563 ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร

ปากีสถาน 1 ราย เป็นเพศหญิง อายุ 40 ปี สัญชาติมาซิโดเนีย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 30 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร และตรวจพบเชื้อในวันแรกที่เข้ารับการกักตัว วันที่ 30 กันยายน 2563 ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (3 ต.ค. 63)

Tags: , , ,
Back to Top