UAC ตั้งเป้า EBITDA ปี 64 โตกว่า 15% ตามธุรกิจเทรดดิ้งฟื้น

นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 64 จะเติบโตมากกว่า 15% จากคาดการณ์ว่าธุรกิจเทรดดิ้งในปีหน้าจะเติบโต 10-15% เมื่อเทียบกับปี 63 หลังทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี กลับมาเดินเครื่องผลิตและบำรุงรักษาโรงงาน จากปีนี้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ชะลอการสั่งซื้อสินค้า

ขณะที่ธุรกิจพลังงาน (ENERGY) ปัจจุบันโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (PPP) ที่จังหวัดสุโขทัย ยังติดปัญหาการได้รับ Associated Gas ไม่เพียงพอต่อการผลิต ทำให้ผลิตก๊าซ C1 ได้น้อยลง และส่งผลให้โรงไฟฟ้าเสาเสถียรได้รับก๊าซ C1 เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการแก้ปัญหาดังกล่าว และคาดหวังว่าจะได้รับข่าวดีในเร็วๆนี้

ขณะเดียวกันธุรกิจเคมีภัณฑ์ (UAPC) คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจหลักได้

ส่วนการเติบโตของธุรกิจในลักษณะ Inorganic บริษัทมีแผนเข้าประมูลโรงไฟฟ้าชุมชนพืชพลังงาน ซึ่งภาครัฐก็ได้มีการกำหนดชัดเจนแล้วว่าจะเปิดประมูลโรงไฟฟ้าชุมชนทั้งสิ้น 150 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น ชีวภาพ 75 เมกะวัตต์ และชีวมวล 75 เมกะวัตต์ คาดหวังว่าจะสามารถเข้าร่วม 5 โรง ทั้งในรูปแบบพัฒนาเอง และร่วมกับพันธมิตร โดยมองว่าการลงทุนดังกล่าวจะเข้ามาสนับสนุนการเติบโตของ UAC ในอีก 1-3 ปีข้างหน้า วางงบลงทุนดังกล่าวราว 1,500 ล้านบาท

ด้านธุรกิจไบโอดีเซล ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทร่วมทุน บริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด น่าจะยังได้รับประโยชน์ จากการผลักดันการใช้ B10 ส่งผลให้ความต้องการซื้อไบโอดีเซลมีมากขึ้น คาดว่าแนวโน้มธุรกิจน่าจะเป็นขาขึ้นไปจนถึงกลางปี 64

นายชัชพล กล่าวถึงความคืบหน้าการลงทุนในโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตพลังงานทดแทนที่ สปป.ลาว ในเฟส 1 การก่อสร้างโรงคัดแยกขยะเพื่อผลิตเชื้อเพลิง RDF นำไปต่อยอดก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค.นี้ และจะสามารถทดสอบระบบได้ในไตรมาส 1/64 จากนั้นก็จะดำเนินการในเฟส 2 หรือการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะ ขนาดกำลังการผลิต 6 เมกะวัตต์ ต่อไป

“เราตั้งเป้า ROE จะต้องเกิน 20% ในปี 66 และ EBITDA จะเติบโตมากกว่า 15% ของรายได้รวม ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จากการมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน และจะรักษาสภาพคล่องของบริษัทให้เป็นบวกรองรับกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”นายชัชพล กล่าว

นายชัชพล กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 63 บริษัทยอมรับว่ารายได้น่าจะปรับตัวลดลงราว 1,200-1,300 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,976.08 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจเทรดดิ้งหดตัวไปค่อนข้างมาก โดยยอดขายตัวเร่งปฎิกิริยาสำหรับอะโรเมติกส์หายไปกว่า 800 ล้านบาท ตามคำสั่งซื้อของลูกค้าที่ลดลง รวมถึงยังได้รับผลกระทบจากสงครามราคาน้ำมัน ทำให้ปริมาณคำสั่งซื้อของลูกค้ากลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีลดลง อีกทั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ฉุดผลการดำเนินงานในภาพรวมลงไปด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเทรดดิ้งก็เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นมาแล้ว หลังได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/63 ส่งผลทำให้คาดว่าแนวโน้มไตรมาส 4/63 จะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/63

ด้าน EBITDA ในปี 63 คาดว่าจะทำได้ดีกว่าปีก่อน หลัง 9 เดือนมีกำไรสุทธิแล้ว 163.55 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนทั้งปีที่อยู่ที่ 163.88 ล้านบาท จากการควบคุมค่าใช้จ่ายในช่วงโควิด-19 และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมทุน บริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด เพิ่มขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ธ.ค. 63)

Tags: , , ,
Back to Top