นักวิเคราะห์ฯมองตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสขึ้นได้แต่ไม่มาก หลังไร้ปัจจัยใหม่หนุน แต่ผ่อนคลายเรื่องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนายกรัฐมนตรี ไม่ผิดกรณีใช้บ้านพักทหารหลังเกษียณ แม้การชุมนุมการเมืองยังร้อนอยู่ นอกจากนี้ยังต้องเกาะติดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามตลาดยังมีแรงหนุนจาก Fund Flow ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้ตลาดแกว่งแคบ ด้านตลาดภูมิภาคเช้านี้แกว่งบวก-ลบ พร้อมให้แนวรับ 1,410 แนวต้าน 1,430 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้บ้าง แต่ให้น้ำหนักไม่มากเนื่องจากตลาดไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา อย่างไรก็ตามตลาดก็ผ่อนคลายปัจจัยการเมืองในประเทศหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนายกรัฐมนตรี ไม่ผิดกรณีใช้บ้านพักทหารหลังเกษียณ แต่การชุมนุมทางการเมืองก็ยังคงร้อนแรงอยู่
นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ดี Fund Flow ยังหนุนตลาดอยู่ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้อาจทำให้ตลาดฯแกว่งในกรอบแคบ
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบสลับกัน พร้อมให้แนวรับ 1,410 จุด ส่วนแนวต้าน 1,430 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,883.79 จุด เพิ่มขึ้น 59.87 จุด (+0.20%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,669.01 จุด เพิ่มขึ้น 6.56 จุด (+0.18%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,349.37 จุด ลดลง 5.74 จุด (-0.05%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.84 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 60.68 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 10.48 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 0.65 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 90.84 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 1.21 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.41 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 ธ.ค.63) 1,417.95 จุด ลดลง 2.92 จุด (-0.21%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 982.63 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.64 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 ธ.ค.63) ปิดที่ 45.28 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ หรือ 1.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 ธ.ค.63) อยู่ที่ 0.31 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.20/25 แนวโน้มแข็งค่า ขานรับข่าวัคซีนโควิด ให้กรอบ 30.15-30.30
- ศบศ.อนุมัติ 4.3 หมื่นล้านบาท กระตุ้นการบริโภคในประเทศต่อเนื่อง ถึงไตรมาส 1 ปีหน้า “คนละครึ่ง” เฟส 2 เปิดเพิ่ม 5 ล้านราย รัฐร่วมจ่าย 3,500 บาท รวม 3 เดือน พร้อมเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการอีกเดือนละ 500 บาท ผุดไอเดียเที่ยวไทยวัยเก๋าหนุนเที่ยววันธรรมดา 1 ล้านคน
- กกร.มองเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะพลิกกลับมาเป็นบวกโดยจีพีดีโต 2-4% ส่งออกโต 3-5% หลังเศรษฐกิจไทยปีนี้เริ่มติดลบในอัตราที่ลดลงต่อเนื่อง ไม่กังวลกรณีการติดเชื้อโควิด-19 หวังรัฐจะคุมอยู่ ปีหน้ามาตรการจากรัฐกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมชง 2 มาตรการทั้งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและหนุนจ่ายเงินเดือนพนักงาน 50%
- ททท. ลุ้นวัคซีนโควิด-19 สำเร็จ หนุนท่องเที่ยวระหว่างประเทศฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 ก่อนกลับมาผงาดในปี 2565 คาดต่างชาติแห่เข้าไทย 20 ล้านคน ด้าน “จุรินทร์” เผยแผนผลักดันการส่งออกปี 64 เตรียมอัดกิจกรรมทำตลาด 343 กิจกรรมกระตุ้น
- นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า แนวโน้มสถานการณ์โควิด-19 ในปีหน้าจะเริ่มคลี่คลายลง โดยหากไทยควบคุมการแพร่ระบาด และเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาได้ ในปี 64 จะมีชาวต่างชาติเข้ามาได้เป็น 8 ล้านคน แต่หากจะทำให้การท่องเที่ยวฟื้นกลับมาเป็นสถานการณ์ปกติอย่างปีที่แล้ว ที่มี 40 ล้านคน อาจต้องใช้เวลาอีก 4 ปี หรือปี 67 ถึงจะฟื้นกลับมาเหมือนเดิมได้ ดังนั้น ระหว่างนี้รัฐบาลจำเป็นต้องเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม ทั้งการเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ ซึ่งมีการขยายอายุมาตรการคนละครึ่ง และการเติมเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐออกไปอีก 3 เดือน
- “สุพัฒนพงษ์” เผยจีดีพีปีนี้ที่ติดลบ 6% จะฟื้นตัวเร็วระยะ 12-18 เดือน ไม่เหมือนตอนวิกฤติต้มยำกุ้งที่ใช้เวลาฟื้น 3-4 ปี ชี้ปี 2564 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ด้านท่องเที่ยวตั้งเป้าทำรายได้ปีหน้า 1.5 ล้านล้านบาท จากปีนี้ 7.5 แสนล้านบาท
หุ้นเด่นวันนี้
- WAVE-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE)) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีจำนวน 158,655,054 หน่วย อายุ 3 ปี ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาท/หน่วย ขณะที่มีอัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาใช้สิทธิ 0.70 บาท/หน่วย กำหนดใช้สิทธิครั้งแรกวันที่ 30 ธ.ค.63 และใช้สิทธิครั้งสุดท้ายวันที่ 27 ต.ค.66
- NOBLE (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” จากการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นครั้งใหญ่ในปีก่อนและปรับกลยุทธ์โดยรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นและครอบคลุมทุก Segment ล่าสุด Backlog ณ สิ้น Q3/63 สูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้ถึงปี 2566 ซึ่งถือว่าความเสี่ยงต่ำ กำไรปี 2563 คาด -43% Y-Y เทียบกับปี 2562 ที่มีการปรับโครงสร้างและขาย Non-core Asset จำนวนมาก แต่คาดเติบโตได้ 7% Y-Y ในปี 2564 โดยมี Upside จากการขาย Noble Remix เข้ากอง REIT พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 24.30 บาท (หลังแตกพาร์เหลือ 8.10 บาท)
- BCPG (เคทีบีฯ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 16.00 บาท ปีหน้าบริษัทจะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า Namsan 3B 45MW และพลังงานแสงอาทิตย์ที่ลาวอีก 3 โครงการรวม 65MW ส่วนโครงการ Solar ที่ญี่ปุ่นยังเป็นไปตามแผน H2/64 COD เพิ่มอีก 65 MW ทั้งนี้ ตลาดประเมินกำไรปี 63-64 เติบโตต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังมีโครงการใหม่อีก 1 โครงการคือโครงการพลังงานลมที่ลาว 270 Equity MW ซึ่งคาดว่าจะ COD ได้ในปี 2566
– CBG (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 145 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิ Q4/63 พุ่งทำ New high มาตรการคนละครึ่งและผลิตภัณฑ์ใหม่ Woody C+ Lock หนุนยอดขาย ขณะที่ต้นทุนลดลงจากการเดินเครื่องโรงงานผลิตขวดและแพ็คเกจจิ้งเองแทนการสั่งซื้อจากผู้ผลิตรายอื่น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (3 ธ.ค. 63)
Tags: BCPG, NOBLE, WAVE-W2, ตลาดหุ้นไทย, หุ้นไทย, เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, เอเซีย พลัส