พาณิชย์ คาดส่งออกมันสำปะหลังปี 63/64 แนวโน้มสดใส จีนต้องการนำเข้าสูง

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมการค้าต่างประเทศได้เตรียมความพร้อมรองรับผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563/64 ที่ปัจจุบันได้ออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยด้านการนำเข้า ได้เพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่นำเข้าให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะพักทะเบียนผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ตรวจพบว่ามีความชื้น/สิ่งเจือปนสูงทันที

ส่วนด้านการส่งออก จะเพิ่มความเข้มงวดการกำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ส่งออก รวมถึงเข้มงวดผู้ส่งออกที่มีพฤติกรรมเสนอขายต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งจะช่วยให้ราคามันสำปะหลังของไทยทั้งระบบมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดมาก

“กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์การค้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะตลาดจีน พบว่าปัจจุบันจีนมีความต้องการมันสำปะหลังไปผลิตแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะปริมาณสต๊อกข้าวโพด ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนมันสำปะหลังที่สำคัญของจีนมีปริมาณลดลง ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ ส่งผลให้ราคาแอลกอฮอล์ที่ผลิตจากข้าวโพดสูงขึ้น แอลกอฮอล์ที่ผลิตจากมันสำปะหลังจึงแข่งขันได้มากขึ้น และโรงงานที่ผลิตแอลกอฮอล์จากมันสำปะหลังได้เพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาวัตถุดิบมันสำปะหลังจะอยู่ในช่วงขาขึ้น”

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศระบุ

โดยปัจจุบัน ราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง F.O.B. เกาะสีชัง เฉลี่ย 270 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น 18.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีราคาเฉลี่ย 228 เหรียญสหรัฐต่อตัน

นายกีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจุบัน ราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่กรมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยจะเพิ่มความเข้มงวดการกำกับดูแลการนำเข้าส่งออกตามมาตรการข้างต้น เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศผู้ซื้อจะไม่ใช้ประเด็นคุณภาพมาตรฐานเป็นข้ออ้างในการกดราคารับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย ซึ่งจะส่งผลดีกับราคาจำหน่ายมันสำปะหลังที่เกษตรกรได้รับ

ทั้งนี้ ช่วงเดือนม.ค.-ต.ค.63 ประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ปริมาณรวม 5.949 ล้านตัน มูลค่า 2,194.97 ล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณเพิ่มขึ้น 2.08% มูลค่าลดลง 2.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่ส่งออกปริมาณรวม 5.828 ล้านตัน มูลค่า 2,261.39 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ธ.ค. 63)

Tags: , , , ,
Back to Top