MFC ชี้ H2 ตลาดยังเสี่ยงจากความไม่แน่นอน “ทรัมป์” แนะกระจายพอร์ต ชูกองทุน MGALL

นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์, FRM ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลยุทธ์การลงทุน บลจ.เอ็มเอฟซี [MFC] กล่าวถึงทิศทางการลงทุนในครึ่งหลังปี 68 ว่ามองภาพเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลกยังเป็นบวก แต่จะค่อย ๆ ทยอยลดความร้อนแรงลงหลังจากกรณีภาษีตอบโต้ของสหรัฐมีความชัดเจนในวันที่ 1 ส.ค. เหลือเพียง จีน และอินเดียที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจา

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นได้รับข่าว Price In ไปพอสมควรแล้ว โดยตลาดหุ้นสหรัฐมี upside จำกัด และ Valuation ตึงตัว ขณะที่ตลาดเอเชียยังพอมี upside และ Valuation ค่อนข้างถูกกว่า ขณะที่ตลาดหุ้นไทย (SET) ปรับขึ้นไป 50-60 จุดแล้ว มองดัชนี SET ปลายปีนี้จะอยู่ที่ 1,300 จุด ช่วงนี้มองว่า upside จำกัด ต้องมี Catalyst เชิงบวกเข้ามาถึงจะทะลุไปกว่า 1,300 จุด

นายเชาวน์กร แนะนำว่านักลงทุนควรเลือกลงทุนหุ้นแบบ Selective ซึ่งปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐกระจุกตัวอยู่ในกลุ่ม Tech และ AI ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชีย กระจายตัวได้ดีกว่า ทั้งในหุ้นจีน หุ้นเวียดนาม และหุ้นไทย โดยในช่วงครึ่งปีหลังมองว่า ตลาด Emerging Asia มี upside มากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐไปอีกกว่า 3 ปีกว่าจะหมดวาระ ที่มองว่าตลาดจะเกิดความไม่แน่นอนได้อีก ฉะนั้น จึงแนะให้กระจายพอร์ต วางสมดุลของสินทรัพย์

ในช่วงครึ่งปีหลัง ประเทศที่แนะได้แก่ จีน โดยเฉพาะกลุ่มเทค ราคาหุ้นน่าจะยัง laggard จีนพยายามสร้างเทคโนโลยี เพื่ออยู่ได้ด้วยตัวเอง ประชากรจีนใช้เน็ตถึง 1 พันล้านคน มีดาต้าอยู่มาก น่าจะช่วยให้จีนเป็นผู้นำ AI

ส่วนอินเดีย เศรษฐกิจยังเติบโตได้ชัดเจน รายได้ต่อหัวยังไม่มาก แม้จะเจอภาษีสหรัฐสูงแต่ต้องมีการเจรจากันแต่มองว่าย่อระยะสั้น ด้านเวียดนาม ระยะสั้นตลาดหุ้นปรับขึ้นร้อนแรง ต่างชาติทยอยขาย คนในประเทศใช้มาร์จิ้นในสัดส่วนที่สูง หุ้นที่ปรับขึ้นก็กระจุกตัว ระยะสั้นมีแรงเก็งกำไรมาก มองว่า รอให้ตลาดปรับลงมาระดับ 1,500 จุดค่อยลงทุน

ขณะเดียวกัน ให้น้ำหนัก overweight ทองคำ ที่จะช่วยกระจายพอร์ต และเป็นทางเลือกในการกระจายการลงทุน รองรับกับความไม่แน่นอนของประธานาธิบดีทรัมป์ ดอลลาร์อ่อนค่า ซึ่งปัจจุบันราคาย้ำอยู่กับที่มา 3 เดือนแล้ว รอจังหวะเข้าซื้อ

นายเชาวน์กร กล่าว่า MFC ได้ออกกองทุนใหม่ คือ MGALL-H และ MGALL-UH ที่มีนโยบายการลงทุนสอดรับกับมุมมองการลงทุนของ MFC ที่กองทุนสามารถรับมือกับสภาวะตลาดผันผวน เพราะมีการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ อาทิ ตราสารหนี้ หุ้น ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ กองทุนมีความยืดหยุ่น โดยปัจจุบันมีการลงทุนตราสารหนี้ราว 70% ลงทุนหุ้น 30%

โดยจะลงทุนกองทุน SPDR Bridgewater All Weathe ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่มีการบริหารเชิงรุก ซึ่งจะกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก โดยตั้งแต่เปิดกองทุนจนถึงปัจจุบัน (มี.ค.- 4 ส.ค.68) มีผลตอบแทน 5%(YTD)

คาด SET สิ้นปี 1,300 จุด

นายเชาวน์กร ยังกล่าว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาได้ 50-60 จุดหลังมีความชัดเจนเรื่องภาษีสหรัฐแล้ว และ Fund Flow ที่ไหลเข้ามาต่อเนื่องตั้งแต่เดือนก.ค. จนถึงต้นส.ค. ก็คาดว่าน่าจะดันดัชนี SET ไปถึง 1,300 จุดได้ในปลายปีนี้ แต่ก็อาจพักตัวจากที่ปรับขึ้นมาต่อเนื่อง แต่ upside จำกัด เพราะยังมีปัจจัยเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี มองว่า แนวรับ 1,200 จุดรอบนี้น่าจะแข็งแรง downside จำกัด โดยหุ้นไทยมีการจ่ายเงินปันผลที่ดี โดยเฉพาะกลุ่ม SET50 ที่ผลประกอบการไม่ติดลบ และสามารถจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 4-6% โดยตลาดหุ้นไทยรับรู้เรื่องภาษีไปแล้ว ส่วนเรื่องการเมือง ตลาดมองเป็นบวกหากมีการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามเรื่องงบประมาณรายจ่ายปี 69 จะผ่านสภาฯ ได้หรือไม่ , การปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะปรับลด 2 ครั้งจากการประชุม 3 ครั้งในปีนี้ โดยการประชุมรอบหน้า (13 ส.ค.) คาดว่าคงดอกเบี้ย ส่วนดอกเบี้ยสหรัฐ ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้

พร้อมแนะนำ หุ้นกลุ่มส่งออก ที่ก่อนหน้านี้ปรับลงจากเรืองภาษีทรัมป์ หุ้นที่มีผลประกอบการไตรมาส 3/68 เป็นไฮซีซั่น อาทิ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีกที่คาดได้รับอานิสงส์จากงบประมาณปี 69 และกลุ่มไฟแนนซ์ที่คาดว่าปลายปีจะลดดอกเบี้ย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ส.ค. 68)