หุ้นไทยเช้านี้แนวโน้มอ่อนลงกังวลโควิดระบาด-ทรัมป์ไม่ลงนามมาตรการกระตุ้นศก.

นักวิเคราะห์ฯ เล็งตลาดหุ้นไทยเช้านี้อ่อนตัวลง จากความกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทั้งในประเทศ-นอกปท. หลังมีการกลายพันธุ์ของโควิด อีกทั้งใกล้หยุดยาวของต่างชาติจึงเชื่อว่าจะไม่มีการเพิ่ม Position รวมถึง”ทรัมป์”ยังไม่ยอมลงนามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่วนเรื่อง Brexit เริ่มมีทางออกมากขึ้น ดังนั้นการปรับขึ้นจึงมีจำกัด จับตาแรงซื้อของต่างชาติ พร้อมให้ติดตามผลประชุมกนง.วันนี้ เล็งคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เล็งกลุ่มน้ำมัน-ท่องเที่ยวปรับตัวลงหลังกลัวโควิดสายพันธุ์ใหม่ พร้อมให้แนวรับ 1,416-1,403 แนวต้าน 1,434-1,440 จุด

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสอ่อนตัวลง จากความกังวลการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ที่ไม่รู้จะรักษาได้หรือเปล่า และใกล้ถึงวันหยุดยาวของต่างชาติทำให้เชื่อว่าจะไม่มีการเพิ่ม Position รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ยังไม่ยอมลงนามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งก็ต้องจับตาดู”ทรัมป์”จะดำเนินการอย่างไร

สำหรับเรื่องอังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เริ่มมีทางออกมากขึ้น อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศยังไม่หยุดการแพร่ระบาดทำให้สร้างความกังวล ส่งผลให้เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปแรงคนก็จะหาจังหวะขาย ดังนั้นการปรับขึ้นของตลาดจึงมีจำกัด และจะต้องจับตาแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติด้วย ถ้าถึงช่วงวันหยุดของต่างชาติแล้วจะยังมีแรงซื้อเข้ามาหรือไม่

นอกจากนี้ วันนี้ให้ติดตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งก็คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมเล็งหุ้นที่ปรับตัวลงน่าจะมาจากหุ้นในกลุ่มน้ำมัน, กลุ่มท่องเที่ยว เพราะไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่คนจะกลัว จึงทำให้ตลาดฯน่าจะมีความผันผวนมาก ที่ผ่านมากองทุนก็ขายออกมามาก

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ พร้อมให้แนวรับ 1,416-1,403 จุด ส่วนแนวต้าน 1,434-1,440 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (22 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,015.51 จุด ลดลง 200.94 จุด (-0.67%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,687.26 จุด ลดลง 7.66 จุด (-0.21%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,807.92 จุด เพิ่มขึ้น 65.40 จุด (+0.51%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 5.69 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 144.04 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 36.14 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 3.24 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.06 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 9.45 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.37 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 ธ.ค.63) 1,424.39 จุด เพิ่มขึ้น 22.61 จุด (+1.61%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,997.53 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.63
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.64 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (22 ธ.ค.63) ปิดที่ 47.02 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 95 เซนต์ หรือ 2%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 ธ.ค.63) อยู่ที่ 1.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 30.19/20 แนวโน้มยังอ่อนค่าจากความกังวลโควิดใน-ตปท. รอกนง.บ่ายนี้
  • นายกฯ แถลงสถานการณ์ “โควิด” รอบใหม่ ส่งผลกระทบเศรษฐกิจต้องชะลอผ่อนปรนต่างชาติเข้าไทย เผยสัปดาห์นี้ ศบค.เตรียมเคาะมาตรการเพิ่มเติมช่วงปีใหม่ ย้ำต้องทลายขบวนการแรงงานเถื่อนต้นเหตุระบาด ด้าน สธ.ยกระดับระบบป้องกันควบคุมโรคใน 23 จังหวัด เฝ้าระวังกลุ่มคนเชื่อมโยงตลาดกลางกุ้ง ขณะที่ 8 จังหวัดพบผู้ติดเชื้อแล้วรวม 30 ราย ตีวงตรวจ 4 ชั้น จ.สมุทรสาคร
  • ธปท.เผยลูกหนี้ “โรงแรม-ท่องเที่ยว” มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ขอพักหนี้ต่อเนื่องยาวถึงมิ.ย.ปี 2564 สั่ง “แบงก์พาณิชย์-แบงก์รัฐ” เกาะติดเอฟเฟ็คโควิดระบาดรอบ 2 ใกล้ชิด พร้อมตั้งคณะกรรมการพิจารณาช่วยเหลือลูกหนี้เร่งด่วน
  • สำนักวิจัยคาดประชุม กนง.วันนี้คงดอกเบี้ยที่ 0.50% แม้มีความเสี่ยงจากโควิด-19 ระบาดรอบใหม่ ลั่น ลดดอกเบี้ยไม่ได้ช่วย แย้มอาจเห็นกนง.เลือกลดเงินนำส่งเอฟไอดีเอฟ เพื่อช่วยลดภาระแบงก์ หวังส่งผ่านไปสู่การลดดอกเบี้ยช่วยลูกหนี้ในอนาคต
  • ครม. เคาะกรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วง 1-3% คาดทั้งปีอยู่ที่มองเป็นระดับที่เหมาะสม และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
  • หอการค้าฯ เผย 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ร่วงปี 2564 ธุรกิจแพลตฟอร์ม-ยูทูบเบอร์ ผงาดหลังโควิด-19 ระบาดดันคนใช้ออนไลน์ ส่วนกลุ่มดาวร่วงเป็นธุรกิจดั้งเดิม เช่น ร้านเช่าหนังสือและอีก 10 ธุรกิจหนักได้รับผลกระทบจากโควิดหนัก ไม่พ้นสายการบิน-โรงแรม

หุ้นเด่นวันนี้

  • SYNEX (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 17 บาท คาดกำไร Q4/63 ยังโตแข็งแกร่งแม้รายได้จะชะลอตัวเพราะจำนวนวันขาย iPhone 12 น้อยกว่าปีก่อนถึง 40 วัน แต่ชดเชยได้จาก Margin ที่ดีขึ้นจาก Product Mix ที่เปลี่ยนและเน้นสินค้า High Margin มากขึ้น ด้านโมเมนตัมการเติบโตยังดีต่อเนื่องใน 1-2 ปีข้างหน้าจากการมาของ 5G รวมถึงการเจาะตลาด Enterprise และ Gaming ซึ่งมี Margin สูง โดยคาดกำไรปี 2563-2565 โตเฉลี่ย 17% CAGR และคาดได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่จำกัด
  • BCP (กสิกรไทย) “ซื้อ”เป้า 22.80 บาท จากมูลค่าหุ้นที่ถูก, upside จากดีล M&A ในธุรกิจโรงไฟฟ้าและเงินปันผลพิเศษ BCP ตั้งเป้าก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่เป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 ผ่านการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นและขยายโรงไฟฟ้าน้อยลง BCP เพิ่งลงทุนซื้อหุ้นใน LAC และจะบันทึกกำไรที่ 100 ล้านดอลลาร์ฯ ในกำไรสะสมซึ่งสะท้อนถึง upside ต่อเงินปันผลปี 2563
  • JMART (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า IAA Consensus 20.7 บาท ได้ปรับเข้าคำนวณใน SET100 รอบใหม่ ด้านผลประกอบการได้อานิสงส์มาตรการช็อปดีมีขึ้นหนุนยอดขาย ส่วนธุรกิจของกลุ่มบริษัทลูก (JMT SINGER) โตแรงต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ธ.ค. 63)

Tags: , , , , , , , , ,
Back to Top