เศรษฐกิจไทย ม.ค.63 สัญญาณดีขึ้นตามส่งออก แต่เริ่มรับผลกระทบโควิด-19

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือน ม.ค.63 มีสัญญาณที่ดีขึ้นจากภาคการส่งออกสินค้า และการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน โดยเฉพาะปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่และรายได้เกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอตัว ในด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมมีสัญญาณชะลอตัว ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่ควรต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงปลายเดือน

นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อำนวยการ สศค.รักษาการที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษก สศค.กล่าวว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมยังคงขยายตัว โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งกลับมาขยายตัวเป็นบวกในรอบ 6 เดือนที่ 0.4% ต่อปี หรือขยายตัว 37.1% จากเดือนก่อนหน้าเมื่อขจัดผลทางฤดูลกาลแล้ว สอดคล้องกับปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ -2.0% ต่อปี จากเดือนก่อนที่หดตัว -17.3% ต่อปี

อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บบนฐานการใช้จ่ายในประเทศขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.4% ต่อปี ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 54.9 เป็นผลมาจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากประเทศจีนที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลกระทบการส่งออก

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ชะลอตัว -13.6% ต่อปี และการลงทุนในหมวดก่อสร้างที่สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ชะลอตัว -5.0% ต่อปี เช่นเดียวกันกับยอดการจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว -17.4% ต่อปี สำหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างชะลอตัวที่ -1.7% ต่อปี โดยมีสาเหตุมาจากราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กปรับตัวลดลง

เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศขยายตัว สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาขยายตัว 3.4% ต่อปี ตามการขยายตัวของการส่งออกสินค้าในหมวดแร่และเชื้อเพลิง เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมเกษตร ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าในหมวดเกษตรกรรมและเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ชะลอลงจากเดือนก่อน

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ตลาดคู่ค้าหลักของไทย อาทิ ตลาดสหรัฐฯและจีนยังคงขยายตัวที่ 9.9% และ 5.2% ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับการส่งออกไปอาเซียน 5 ประเทศที่กลับมาขยายตัว 3.8% ต่อปี

อย่างไรก็ดี การส่งออกไปทวีปออสเตรเลีย ฮ่องกง และแอฟริกายังคงชะลอตัว ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้ารูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัวที่ -7.9% ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือน ม.ค.63 ขาดดุล 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน พบว่า ภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัว อย่างไรก็ดี ภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมส่งสัญญาณชะลอตัว โดยภาคการท่องเที่ยว สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีจำนวน 3.81 ล้านคน หรือขยายตัว 2.5% ต่อปี ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนเทศกาลตรุษจีนในช่วงเดือนมกราคม 2563 ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซีย ไต้หวัน และฮ่องกง

อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวเริ่มได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวจีนหดตัวลง -3.7% ต่อปี

ขณะที่ภาคการเกษตรสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรชะลอตัว -2.2% ต่อปี จากการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลเป็นสำคัญ สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมที่สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัว -4.6% ต่อปี จากการลดลงของการผลิตในหมวดยานยนต์ และเฟอร์นิเจอร์ ส่วนผลผลิตอุตสาหกรรมที่ยังคงขยายตัว ได้แก่ แอร์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่รดับ 92.2 ตามการเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมที่ผลิตเกี่ยวกับสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องมือแพทย์ ยา และเคมีเพื่อการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ เป็นต้น

เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.1% ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.5% ต่อปี สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน ธ.ค.62 อยู่ที่ 41.2% ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน ม.ค.63 อยู่ในระดับสูงที่ 230.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.พ. 63)

Tags: , , , ,
Back to Top