ดาวโจนส์ปิดร่วง 785.91 จุด วิตกเฟดหั่นดอกเบี้ยฉุกเฉิน

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 700 จุดเมื่อคืนนี้ (3 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินลง 0.50% เมื่อวานนี้ อาจสะท้อนให้เห็นว่าผลกระทบของไวรัสโควิด-19 มีความรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จนทำให้เฟดตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยก่อนที่การประชุมตามกำหนดการจะมีขึ้นในวันที่ 17-18 มี.ค.นี้

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,917.41 จุด ร่วงลง 785.91 จุด หรือ -2.94%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,003.37 จุด ลดลง 86.86 จุด หรือ -2.81%
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,684.09 จุด ลดลง 268.08 จุด หรือ -2.99%

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟด ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% จากระดับ 1.50-1.75% สู่ระดับ 1.00-1.25% เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน ก่อนที่การประชุมตามกำหนดการของเฟดจะมีขึ้นในวันที่ 17-18 มี.ค. และถือเป็นการปรับลดดอกเบี้ยนอกรอบการประชุมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการเงิน

ทั้งนี้ คณะกรรมการ FOMC ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า การที่เฟดตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินในครั้งนี้ มีเป้าหมายที่จะลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวว่า ไวรัสโควิด-19 กำลังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ จึงทำให้เฟดตัดสินใจดำเนินการดังกล่าว

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์สตราเทจิก บอร์ด โซลูชั่นส์ ในรัฐนิวยอร์ก กล่าวว่า ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นหลังจากเฟดสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ดาวโจนส์ก็เคลื่อนตัวสู่แดนลบ และปิดตลาดร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกังวลว่า การที่เฟดปรับลดดอกเบี้ยนอกรอบการประชุมเช่นนี้ อาจสะท้อนให้เห็นว่า ผลกระทบของไวรัสโควิด-19 อาจร้ายแรงกว่าที่คิด

ขณะที่นักวิเคราะห์จากบริษัทคิวเอส อินเวสเตอร์ส แสดงความเห็นว่า นโยบายการเงินอาจไม่ได้ช่วยเยียวยาผลกระทบของไวรัสโควิด-19 เพราะแม้ว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินจะส่งผลดีต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจในระยะสั้นๆ แต่เมื่อการแพร่ระบาดเข้าสู่ช่วงวิกฤตที่รุนแรงถึงขีดสุด ความไม่แน่นอนและความผันผวนก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงอย่างหนักหลังจากเฟดประกาศลดอกเบี้ยฉุกเฉิน เนื่องจากธุรกิจในภาคส่วนนี้ต้องพึ่งพากำไรจากอัตราดอกเบี้ย โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ทรุดลง 5.5% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 4.48% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 2.8% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ดิ่งลง 3.7% หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 4.09%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นแอปเปิล ร่วงลง 3.18% หุ้นไมโครซอฟท์ ดิ่งลง 4.79% หุ้นเฟซบุ๊ก ทรุดลง 5.37% หุ้นอินเทล ร่วงลง 3.8% หุ้น Nvidia ร่วงลง 3.81% หุ้นอเมซอนดอทคอม ลดลง 2.3% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 3.5% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) ลดลง 1.5 4.3%

หุ้นทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 4/2562 ที่ระดับ 2.340 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.350 หมื่นล้านดอลลาร์

หุ้นโคห์ลส์ คอร์ป ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.6% แม้บริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2562 ที่ระดับ 1.99 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.88 ดอลลาร์/หุ้น

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.พ.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนก.พ.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนก.พ.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยไตรมาส 4/2562, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนม.ค., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ., ยอดนำเข้า,ส่งออก และดุลการค้าเดือนม.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนม.ค.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 มี.ค. 63)

Tags: , , , , , , , , ,
Back to Top