สัมภาษณ์พิเศษ: ITEL ย้ายเข้า SET ก.ย.มุ่งสู่รายได้ 5 พันลบ.ปี 68 คาด H2/64 โตดันทั้งปีเข้าเป้า

นายณัฐนัย อนันต์รัมภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL) เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า การย้ายหลักทรัพย์ ITEL จากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายหลังจาก คณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้ยื่นเรื่องต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาเอกสารคาดว่าจะได้ความชัดเจนกลางเดือน ส. ค.64 และน่าจะย้ายเข้า SET ได้ในช่วงกลางเดือน ก.ย.หรือราววันที่ 14 ก.ย.64 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ ITEL ได้เข้าไปจดทะเบียนใน ตลาด mai ตั้งแต่ต้น

ทั้งนี้ การย้ายเข้าจดทะเบียนใน SET ถือเป็นบันไดขั้นที่หนึ่งเพื่อนำพาบริษัทเข้าใกล้เป้าหมายที่จะมุ่งไปสู่รายได้ 5,000 ล้านบาทในปี 68

“การย้ายเข้าไปจดทะเบียนใน SET จะทำให้เราเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มนักลงทุนและนักลงทุนสถาบัน ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็น ผลดีต่อสภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นของบริษัท และความพร้อมในการขยายไปสู่การร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตร จะช่วยให้เราสามารถไป เจรจากับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ได้สะดวกและง่ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรที่อยู่ในตลาด SET เหมือนกัน หรือพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อ เสริมให้บริษัทมีความแข็งแกร่งและเติบโตในระยะยาว”

นายณัฐนัย กล่าว

ส่วนการเข้ามาถือหุ้นของ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) โดยการซื้อบิ๊กล็อตจากบมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK) เนื่อง จาก MFC เล็งเห็นว่าบริษัทมีการเติบโตตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา รวมไปถึงมีความชัดเจนของการเดินหน้าธุรกิจ New S-Curve ซึ่งสามารถ จับต้องได้และมีงานรองรับ จึงเป็นปัจจัยให้เกิดความสนใจและเชื่อมั่น

ประกอบกับ บริษัทยังคงยืนยันที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ จึงเชื่อว่าจะดึงดูดนักลงทุนสถาบัน หรือกองทุนอื่นๆ เข้า มาถือหุ้นของบริษัทเพิ่มเติมอีก ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนสถาบันถือครองหุ้น ITEL คิดเป็นสัดส่วนราว 8-12% โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเห็นนักลง ทุนสถาบันเข้ามาถือหุ้นเป็นเป็น 15% ในปี 65 ดังนั้น การย้ายเข้า SET จะเป็นผลบวกกับ ITEL มากขึ้น

นายณัฐนัย กล่าวอีกว่า สำหรับผลประกอบการในปีนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมทั้งปีจะเติบโตเป็น 2,800 ล้านบาท เนื่องด้วยภาพรวมครึ่งปีแรกสามารถทำรายได้ ไปแล้วประมาณ 1,050 ล้านบาท ขณะที่ในครึ่งปีหลังก็คาดว่าจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก หรือมี รายได้ราว 1,500 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ขณะนี้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้

ส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจ New S-Cure ที่ประกอบไปด้วย 4 เรื่อง ได้แก่ Drone และ Anti-Drone, การวิเคราะห์ ข้อมูลทางโซเชียล, CCTV Analytic และ Tele of Everything  โดยในปีนี้จะมีรายได้ราว 300-400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% ของรายได้ทั้งหมดในปีนี้

นายณัฐนัย กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทคาดว่ารายได้เติบโตจากงานโครงการต่างๆ ที่ได้มาในครึ่งปีแรกจะมีการทยอย ส่งมอบงานให้กับลูกค้าในครึ่งปีหลัง เช่น งานแอนตี้โดรน (Anti-Drone) มูลค่าราว 550 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทยอยส่งมอบใน ครึ่งปีหลังประมาณ 70-80% ของมูลค่ารวมทั้งหมด

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเข้าประมูลงานทั้งภาครับและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ งานกล้อง CCTV Analytic, งาน เดินสายไฟเบอร์ออฟติกส์ให้กับหน่วยงานการไฟฟ้า, โครงการ USO (เน็ตชายขอบของ TOT) และ โครงการพัฒนาทักษะสร้างความรู้ด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ (Course Online) โดยคาดหวังว่าจะได้รับงานเพิ่มเข้ามาอีกประมาณ 2,100 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าประมูลงานไปแล้ว 3 โครงการ มูลค่ารวมราว 800 ล้านบาท คาดว่าจะมีความ ชัดเจนในช่วงปลายเดือน ก.ค.หรือต้นเดือน ส.ค.64 โดยมั่นใจว่าจะได้รับงานเข้ามาค่อนข้างสูง

ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมยื่นประมูลงานเพิ่มเติมอีกราว 10 โครงการ โดยคาดหวังจะได้รับงานประมาณ 4-5 โครงการ มูลค่ารวมราว 1,200 ล้านบาท ซึ่งงานที่จะยื่นไป ITEL มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับ New S-Curve ไม่ ว่าจะเป็นงาน Drone และ Anti-Drone, การวิเคราะห์ข้อมูลทางโซเชียล และ Course Online เป็นต้น

ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 3,179 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพิ่มงานเข้ามาอีก 2,100 ล้านบาท ซึ่งมีงานประมาณ 800 ล้านบาทที่จะรู้ผลภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ส่วนที่เหลือจะเข้าประมูลเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือ ของปีนี้ คาดหวังได้รับงาน 1,200 ล้านบาท ส่งผลให้ปีนี้งานในมือจะเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 5,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้เข้า มาในช่วงครึ่งปีหลังราว 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นงานเก่า 900 ล้านบาท และงานใหม่ที่คาดว่าจะได้เข้ามาเพิ่มเติม 2,100 ล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้ราว 30% ในปีนี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ก.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top