สศก. เผย GDP ภาคเกษตร Q2/64 พลิกโต 1.2% คาดทั้งปีขยายตัวตามเป้า 1.7-2.7%

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 2/64 (เม.ย.-มิ.ย.64) ขยายตัว 1.2% โดยปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/63 ที่หดตัวถึง 3.1% เนื่องจากปัญหาสภาพอากาศที่ร้อนจัด หลายพื้นที่ของประเทศประสบภาวะฝนทิ้งช่วงและภัยแล้ง ทำให้มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการผลิตทางการเกษตร

ขณะที่สถานการณ์ในปี 64 มีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 63 และช่วงต้นปี 64 ทำให้มีปริมาณน้ำสะสมในอ่างเก็บน้ำที่สำคัญและในแหล่งน้ำตามธรรมชาติเพิ่มขึ้น เกษตรกรจึงสามารถทำการเพาะปลูกได้ รวมทั้งสภาพอากาศโดยทั่วไปที่เอื้ออำนวย ไม่ประสบปัญหาภัยแล้งที่รุนแรง ทำให้สถานการณ์การผลิตพืชและปศุสัตว์ดีกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดปรับตัวสูงขึ้น จูงใจให้เกษตรกรเพิ่มปริมาณการผลิต นอกจากนี้ นโยบายและมาตรการของภาครัฐ อาทิ การส่งเสริมอาชีพเกษตร การพัฒนาช่องทางการตลาดทั้งตลาดออนไลน์และออฟไลน์ การประกันรายได้สินค้าเกษตรที่สำคัญ และการพักชำระหนี้ ทำให้เกษตรกรสามารถทำการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 64 สศก.คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 1.7-2.7% เมื่อเทียบกับปี 63 โดยทุกสาขาการผลิตมีแนวโน้มขยายตัว เนื่องจากปริมาณฝนที่มีมากขึ้นในช่วงต้นปี และคาดว่าจะมีปริมาณฝนตกในระดับปกติในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติมีมากขึ้น เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ประกอบกับการดำเนินนโยบายและมาตรการของภาครัฐในด้านการบริหารจัดการการผลิตและการตลาดที่มีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยีในการผลิต และการยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ความแปรปรวนของสภาพอากาศ แนวโน้มราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และความผันผวนของค่าเงินบาท อาจส่งผลกระทบต่อการกระจายสินค้า ต้นทุนการผลิต และการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบต่อการกระจายสินค้าเกษตรในบางพื้นที่ รวมถึงกิจกรรมการผลิตของโรงงานแปรรูปบางแห่งต้องหยุดชะงักลง ทำให้ความต้องการสินค้าเกษตรบางชนิดชะลอตัวลงไปด้วย

ด้าน น.ส.ทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการ สศก.กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร ที่ขยายตัวได้ในไตรมาส 2 เป็นผลจากการขยายตัวของทุกสาขา ยกเว้นสาขาประมงที่หดตัว

สาขาพืช ขยายตัว 2.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 63 ได้แก่

– ข้าวนาปรัง ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่มีมากขึ้นในช่วงปลายปี 63 ถึงต้นปี 64 และราคาข้าวเปลือกที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เกษตรกรมีการขยายเนื้อที่เพาะปลูก

– มันสำปะหลัง ช่วงที่ผ่านมาราคาอยู่ในเกณฑ์ดี เกษตรกรจึงขยายเนื้อที่ปลูกทดแทนอ้อยโรงงานที่ราคา มีแนวโน้มลดลง

– ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น จูงใจให้เกษตรกรมีการดูแลเอาใจใส่แปลงปลูกและเฝ้าระวังโรคมากขึ้น ประกอบกับมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเจริญเติบโต ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้น

– สับปะรดโรงงาน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาในปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี เกษตรกรบำรุงรักษาต้นสับปะรดดีและขยายพื้นที่ปลูกสับปะรดในพื้นที่ปลูกสับปะรดที่ปล่อยว่างในช่วงที่ผ่านมา

– ยางพารา ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอ ทำให้ต้นยางสมบูรณ์ ประกอบกับต้นยางพาราที่กรีดได้ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุที่ให้ผลผลิตสูง รวมทั้งภาครัฐได้ดำเนินโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง

– ปาล์มน้ำมัน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรขยายเนื้อที่ปลูกในปี 61 ทดแทนพืชชนิดอื่น โดยปาล์มน้ำมันที่ปลูกเริ่มให้ผลผลิตในช่วงปี 64 ประกอบกับในแหล่งผลิตสำคัญมีสภาพอากาศเอื้ออำนวยมากขึ้นผลผลิตปาล์มน้ำมันจึงเพิ่มขึ้น

– ทุเรียน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาในปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี เกษตรกรมีการบำรุงและดูแลรักษาเป็นอย่างดี ประกอบกับพื้นที่ปลูกใหม่ในปี 59 ในจังหวัดจันทบุรี ระยอง และตราด ซึ่งปลูกทดแทนยางพารา และผลไม้อื่นๆ เช่น เงาะ มังคุด และลองกอง เริ่มให้ผลผลิตในปี 64 เป็นปีแรก

สาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 63 เป็นผลจากการเพิ่มปริมาณการผลิตตามความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับการเฝ้าระวัง ควบคุมโรคระบาดอย่างเข้มงวด และการจัดการฟาร์มที่ได้มาตรฐาน ทำให้สินค้าปศุสัตว์หลัก คือ

– ไก่เนื้อ ผลผลิตเพิ่มขึ้น โดยมีการขยายการผลิตรองรับความต้องการของตลาดส่งออกสำคัญ อาทิ สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และเกาหลีใต้

– สุกร ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี รวมถึงเพิ่มความเข้มข้นของระบบ Biosecurity ของฟาร์ม เพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในระดับสูงสุด ส่งผลให้อัตรารอดของสุกรเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับมีปัจจัยด้านราคาที่จูงใจให้เกษตรกรขยายการผลิต

– ไข่ไก่ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศแวดล้อมของการเลี้ยงเอื้ออำนวย ส่งผลต่อการออกไข่ของแม่ไก่ รวมทั้งการดำเนินมาตรการรักษาสมดุลของผลผลิตไข่ไก่ในระบบ

– น้ำนมดิบ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนภาครัฐได้มีการควบคุมและเฝ้าระวังโรคระบาด

สาขาประมง หดตัว 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 63 เป็นผลมาจากผลผลิตประมงทะเลในส่วนของปริมาณสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือในภาคใต้ลดลงจากสภาพอากาศที่แปรปรวน จำนวนวันที่ชาวประมงนำเรือออกไปจับสัตว์น้ำจึงลดลง ส่วนปริมาณกุ้งทะเล ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เกษตรกรจึงปรับลดพื้นที่การเลี้ยง ลดจำนวนลูกพันธุ์ และชะลอการลงลูกกุ้ง อีกทั้งบางพื้นที่มีการระบาดของโรคขี้ขาวและโรคตัวแดงดวงขาว ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง อย่างไรก็ตาม ผลผลิตประมงน้ำจืด เช่น ปลานิล และปลาดุก มีทิศทางเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำฝนมากกว่าปีที่ผ่านมา จึงเพียงพอต่อการเลี้ยง อีกทั้งเกษตรกรมีการอนุบาลลูกปลาให้ได้ขนาดและแข็งแรงก่อนปล่อยลงบ่อเลี้ยงจึงเพิ่มอัตราการรอดทำให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้น

สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัว 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 63 โดยกิจกรรมการเตรียมดินและการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงปลายปีที่ผ่านมามีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติเพิ่มขึ้น และราคาพืชหลายชนิดมีแนวโน้มสูงขึ้น เกษตรกรมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชและมีพื้นที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเพิ่มขึ้น เช่น ข้าว และมันสำปะหลัง

สาขาป่าไม้ ขยายตัว 2.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 63 โดยผลผลิตไม้ยางพาราขยายตัวตามพื้นที่การตัดโค่นสวนยางพาราเก่าเพื่อปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีและพืชอื่น ขณะที่ผลผลิตไม้ยูคาลิปตัสซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเยื่อกระดาษและเป็นพืชพลังงาน ยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น จีน และญี่ปุ่น ด้านผลผลิตรังนกของไทยยังมีศักยภาพและคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับรังนกของคู่แข่ง ทำให้มีความต้องการจากประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง และถ่านไม้ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดจีนและญี่ปุ่นอย่างมาก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ส.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top