มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรยังคงสอนออนไลน์ต่อ แม้คลายล็อกดาวน์โควิด

หนังสือพิมพ์เดอะ ซันเดย์ ไทม์ส รายงานวานนี้ว่า มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งในสหราชอาณาจักรยังคงยืนยันไม่กลับไปจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนในภาคเรียนช่วงฤดูใบไม้ร่วง แม้รัฐบาลจะมีคำแนะนำให้ยกเลิกข้อจำกัดเพื่อควบคุมโควิด-19 ทั้งหมดได้ก็ตาม

รายงานอ้างคำชี้แจงของมหาวิทยาลัย 20 แห่ง จาก 24 แห่งในกลุ่มมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ หรือรัสเซลกรุ๊ป (Russell Group) ที่ระบุว่า การเรียนการสอนระดับปริญญาตรีบางส่วนจะยังคงเป็นแบบออนไลน์ ซึ่งหมายความว่ามหาวิทยาลัยจะปรับใช้การเรียนการสอนโดยผสมผสานทั้งแบบออนไลน์และแบบเข้าชั้นเรียน รวมไปถึงกับการสัมมนา และการสอนแบบบรรยายต่างๆ

ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัย 2 ใน 3 จากทั้งหมด 65 แห่งที่สำรวจโดยนิตยสารไทม์ส ไฮเออร์ เอดูเคชัน (THE) ยืนยันว่าการสอนแบบบรรยายส่วนใหญ่จะยังคงจัดขึ้นทางออนไลน์ในภาคการศึกษาที่จะมาถึงนี้ แต่ก็มีการวางแผนสอนแบบเข้าชั้นเรียนให้ได้มากที่สุดด้วยเช่นกัน โดยระบุถึงความกังวลเรื่องความเสี่ยงจากโควิด-19 ในห้องเรียนบรรยายขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังระบุถึงประโยชน์ของการเรียนการสอนแบบผสมผสาน

มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ยังระบุว่าจะกำหนดให้นักศึกษาสวมหน้ากากอนามัยขณะที่อยู่ภายในวิทยาเขต และบางแห่งจะกำหนดให้นักศึกษาเว้นระยะห่างทางสังคมด้วย รวมถึงกำหนดให้นักศึกษาจำเป็นต้องได้รับวัคซีนครบทั้งสองโดสเพื่อเข้าร่วมคอนเสิร์ต งานเต้นรำ หรืองานสังสรรค์อื่นๆ

อย่างไรก็ดี การตัดสินใจครั้งนี้สร้างความผิดหวังให้นักศึกษาจำนวนมากที่เคยประสบกับการหยุดชะงักทางการศึกษาเมื่อปีก่อน ส่งผลให้กลุ่มนักศึกษาในแมนเชสเตอร์ ลีดส์ และลิเวอร์พูล ร่วมกันยื่นคำร้องขอให้จัดการเรียนการสอน “แบบปกติอย่างเต็มรูปแบบ” พร้อมขอให้มหาวิทยาลัยคืนค่าธรรมเนียมต่างๆ โดยในเมืองแมนเชสเตอร์ที่มีมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดที่สุด มีผู้ร่วมลงชื่อเกือบ 10,000 คนแล้ว

ทั้งนี้ อังกฤษประกาศยกเลิกข้อจำกัดควบคุมโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่เมื่อเดือนก.ค. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนคลายล็อกดาวน์ระยะสุดท้ายของรัฐบาล

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ข้อมูลทางการที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ (7 ส.ค.) ระบุว่า สหราชอาณาจักรตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น 28,612 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 6,042,252 ราย

อย่างไรก็ดี สหราชอาณาจักรได้ฉีดวัคซีนโดสแรกให้ประชากรวัยผู้ใหญ่แล้วเกือบ 90% ขณะที่อีกกว่า 74% ได้รับวัคซีนโดสที่สองแล้ว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ส.ค. 64)

Tags: , ,
Back to Top