SPALI ลุ้นโควิดจบก่อน Q4/64 ยันแผนเปิด 22 โครงการใหม่ พร้อมคงเป้าธุรกิจทั้งปี

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทยังคงยืนยันแผนเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 จำนวน 22 โครงการ มูลค่ารวม 2.48 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นแนวราบ 18 โครงการ และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ส่งผลให้บริษัทยังชะลอการเปิดโครงการใหม่ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม จากภาวะตลาดที่ยังไม่เอื้ออำนวย แต่จะกลับมาเปิดโครงการใหม่ที่น่าจะกระจุกตัวในช่วงไตรมาส 4/64

อย่างไรก็ตาม หากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศยังสูงต่อเนื่องเมื่อเข้าสู่เดือน ต.ค. 64 ก็อาจจะเลื่อนโครงการใหม่บางส่วนไปเปิดในช่วงปี 65 แต่คงจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม เพราะถ้าสถานการณ์ยังไม่สามารถคลี่คลายลงได้ชัดเจนก่อนเข้าสู่ไตรมาส 4/64 อาจจะกระทบต่อปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน

“ตอนนี้ก็ยังไม่แน่นอนว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เราก็มองว่าเรื่องของโควิดยังอยู่กับเราไปอีก 6 เดือนจากนี้ ก็ยังหวังว่าสถานการณ์จะสามารถเห็นคลี่คลายได้ก่อนเดือน ต.ค.นี้ แต่หากลากยาวงต่อไปอีกก็อาจจะต้องเลื่อนการเปิดโครงการไปปีหน้าบางส่วน และโครงการส่วนใหญ่ที่เราเปิดในครึ่งปีหลังคงเป็นโครงการที่ราคาขาย 3-5 ล้านบาท เป็นหลัก เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีกำลังซื้อที่ดีอยู่ แม้ว่าปัจจุบันแบงก์จะเข้มงวดปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่จะเข้มงวดไปที่โครงการที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านลงมามากกว่า”นายไตรเตชะ กล่าว

ด้านภาพรวมของยอดขายและยอดโอนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 มองว่าช่วงไตรมาส 3/64 จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เร่งตัวขึ้นในระดับสูงต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ประกอบกับมาตรการควบคุมโควิด-19 ของภาครัฐ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศหยุดชะงักไปชั่วคราว โดยเฉพาะการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างที่ส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างและการเก็บงานเพื่อส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าต้องล่าช้าออกไป

นายไตรเตชะ กล่าวว่า โครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทส่วนใหญ่ที่เริ่มโอนในช่วงเดือนก.ค. 64 ต้องหยุดการโอนไป 1 เดือน ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ค.64 เป็นต้นมา และแม้ว่าปัจจุบันทางภาครัฐจะอนุญาตให้เริ่มกลับมาเปิดแคมป์คนงานได้บางส่วนแล้ว แต่ยังมีเงื่อนไขในเรื่องของความปลอดภัยที่จะต้องเตรียมการก่อนที่กลับมาก่อสร้างอีกครั้ง ทำให้ทำงานไม่ได้เต็มที่ โดยบริษัทมีแผนการเริ่มโอนคอนโดมิเนียมใหม่ตั้งแต่ ก.ค.64 จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 1.42 หมื่นล้านบาท ซึ่งมียอดขายแล้ว 90% ได้แก่ โครงการศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร โครงการศุภาลัย รีวา แกรนด์ และโครงการศุภาลัย เวอแรนด้า สถานีภาษีเจริญ

เช่นเดียวกับยอดขายที่ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาเยี่ยมชมโครงการของลูกค้าที่ลดลงไปค่อนข้างมาก เนื่องจากกังวลเรื่องการติดเชื้อโควิด-19 และการระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน ประกอบการ การเปิดโครงการใหม่ที่ชะลอออกไป ทำให้ยอดขายในช่วงไตรมาส 3/64 จะยังคงเห็นการชะลอตัวไปค่อนข้างมาก แต่บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างโอกาสในการขาย จากการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขายและเยี่ยมชมโครงการแบบออนไลน์ เพื่อทำให้ลูกค้ายังสามารถเห็นห้องตัวอย่างและปรึกษาพนักงานขายได้

“ไตรมาส 3/64 ได้รับผลกระทบมาก ส่งผลต่อยอดขายและยอดโอนที่ชะลอตัวลงแน่นอน ยอดขายก็กระทบจาก Mood ของตลาดที่ซึมลงไป แม้ว่าจะยังมีความต้องการซื้อบ้าน แต่ก็ชะลอการตัดสินใจไปก่อน และยังไม่พร้อมที่จะเดินเข้ามาดูโครงการ จะเห็นได้จากยอด Walk-in ที่ชะลอตัวลงมากใกล้กับช่วงโควิด Wave แรก และโครงการใหม่ก็ยังไม่มีเปิด ทำให้ไม่มีปัจจัยมากระตุ้นยอดขาย ส่วนยอดโอนก็ชะลอไปในไตรมาส 3/64 เพราะการโอนหายไป 1 เดือนจากมาตรการปิดแคมป์คนงาน ทำให้ส่งมอบสินค้าให้ส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าไม่ได้ต่อเนื่อง”นายไตรเตชะ กล่าว

นายไตรเตชะ กล่าวอีกว่า บริษัทมองว่าหากภาพรวมของสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศคลี่คลายได้ก่อนเข้าสู่ช่วงไตรมาส 4/64 มั่นใจว่าจะเห็นการฟื้นตัวกลับมาของยอดขายและยอดโอนที่ดีขึ้นจากไตรมาส 3/64 เพราะการขาย การเปิดโครงการจะเริ่มกลับมาได้ รวมถึงลูกค้าก็เริ่มออกมาเข้าชมโครงการมากขึ้น ทำให้โอกาสในการขายเพิ่มสูงขึ้น และการส่งมอบโครงการของลูกค้าทำได้รวดเร็วมากขึ้น

และปกติในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีจะมีการโอนโครงการเข้ามามาก ทำให้มองว่ายังเป็นโอกาสที่จะเห็นผลงานกลับมาฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งบริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายในปีนี้ไว้ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกทำได้ 1.3 หมื่นล้านบาท และยอดโอนมีเป้าหมายที่ 2.8 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกทำได้ 1.1 หมื่นล้านบาท

ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามากว่า 1.42 หมื่นล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่ 3.6 หมื่นล้านบาท และยังเดินหน้ามองหาซื้อที่ดินเข้ามาเพิ่มเติม เพื่อรองรับการพัฒนาโครงกาสรใหม่ในอนาคต โดยที่งบซื้อที่ดินในปีนี้ที่ตั้งไว้ 8 พันล้านบาท ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาใช้ไปเพียง 3 พันล้านบาท ทำให้บริษัทยังหาจังหวะในการซื้อที่ดินได้เพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศออสเตรเลีย ในช่วงครึ่งปีหลังนี้คาดว่าส่วนแบ่งกำไรที่เข้ามาจะลดลงจากครึ่งปีแรกที่รับรู้ฯเข้ามากว่า 100 ล้านบาท เนื่องจากภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียคาดว่าจะชะลอตัวลง เพราะมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์สิ้นสุดลง จึงไม่มีปัจจัยที่เข้ามาช่วยกระตุ้นการซื้อ และสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศออสเตรเลียยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และมีการล็อกดาวน์บางเมือง

ส่วนแผนการขายอาคารศุภาลัย ทาวเวอร์ พระราม 3 เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ศุภาลัย หลังจากที่ได้ยื่นไฟลิ่งให้กับตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อปลายปี 63 ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากภาวะในปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์ยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้บริษัทและทีมที่ปรึกษายังไม่เร่งการผลักดันการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ เพื่อรอดูภาวะของตลาดอีกครั้ง เพราะยังมีความไม่แน่นอนจากผลกระทบโควิด-19

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ส.ค. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top