CONSENSUS: โบรกฯเชียร์ ซื้อ IIG เล็งผลงาน H2/64 เด่นหลังเข้า High Season, รับกระแส WFH

โบรกเกอร์ต่างเชียร์”ซื้อ”หุ้น บมจ.ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป (IIG) เล็งผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลัง (H2/64) เติบโตโดดเด่น จากเป็นช่วง High Season โดยเฉพาะในไตรมาส 4/64 และยังได้รับอานิสงส์จากกระแสการ Work from Home (WFH) ช่วงโควิด-19 ทำให้ 2 ธุรกิจหลักอย่าง Enterprise Resource Planning (ERP) และ Customer Relationship Management (CRM) เติบโต รวมถึงยังมี Upside จากดีล M&A เพื่อต่อยอดธุรกิจด้าน Software ให้ครบวงจรมากขึ้น

ด้านอัตรากำไรขั้นต้นยังคงเร่งตัวขึ้นเรื่อย ๆ จากการประหยัดต่อขนาดที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนขายส่วนใหญ่ของ IIG เป็นต้นทุนคงที่ ซึ่งจะไม่เพิ่มตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น

หุ้น IIG ปิดเช้าที่ 27 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท (+0.93%) ขณะที่ดัชนี SET ปิดเช้าบวก 7.28 จุด

โบรกเกอร์คำแนะนำราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
เคจีไอ (ประเทศไทย)ซื้อ40
เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ซื้อ30
ฟินันเซีย ไซรัสซื้อ31
 เคทีบีเอสทีซื้อ35

นายณภัทร วรจรรยาวงศ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า IIG ผลประกอบการไตรมาส 3/64 คาดว่าจะดีขึ้น QoQ และในช่วงไตรมาส 4/64 จะเติบโตโดดเด่นตาม Seasonal ประกอบกับได้รับอานิสงส์จากกระแส Digital Transformation ที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้บริษัทใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นลูกค้าของ IIG ต้องรีบลงทุนระบบทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน ทำให้ยอดขายธุรกิจ Enterprise Resource Planning (ERP) เติบโต ถึงแม้ว่าธุรกิจ ERP จะมีในไทยมาเป็นสิบปีแล้ว แต่เทรนด์ต่อจากนี้คือการนำระบบ ERP ขึ้นบนระบบ Cloud ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับ Work From Home

สำหรับธุรกิจ Customer Relationship Management (CRM) ได้รับลูกค้าใหม่มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจประกัน ซึ่งทาง IIG ก็ค่อนข้างครองตลาดของลูกค้าธุรกิจประกันอยู่แล้ว รวมไปถึงลูกค้าใหม่ในธุรกิจอื่นๆ เช่น กลุ่ม Property เป็นต้น โดยตลาดธุรกิจ CRM ในไทยถือว่ายังเป็น Early State มีเพียงลูกค้าไม่กี่กลุ่มที่นำระบบดังกล่าวไปใช้ในระยะยาวจึงสามารถเติบโตได้อีกมาก

เพราะระบบ CRM สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการและตอบสนองลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อลูกค้าติดตั้งและวางระบบ CRM แล้ว ก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายปีที่เป็นค่าเช่าใช้ซอฟต์แวร์ และค่า Implement สำหรับการวางระบบอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าหากพิจารณาจาก Backlog ที่ IIG มีในปัจจุบัน คาดว่ารายได้ในครึ่งปีหลังจะโตเกิน 30% ในแต่ละไตรมาส เช่นเดียวกับในครึ่งปีแรก

ด้านอัตรากำไรขั้นต้นยังคงเร่งตัวขึ้นเรื่อย ๆ จากการประหยัดต่อขนาดที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทได้จ้างพนักงานใหม่เพิ่มเป็นจำนวนมากในช่วงปลายปี 63 และ ต้นปี 64 ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจึงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางแนวโน้มรายได้ที่เพิ่มขึ้น

ส่วนนายวรชัย วิวัชรี นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ (SBITO) เปิดเผยว่า ผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังจะโดเด่นกว่าครึ่งปีแรก เป็นปัจจัยทางฤดูกาลที่ IIG จะมีรายได้น้อยที่สุดในไตรมาส 1/64 และสูงที่สุดในไตรมาส 4/64 ที่จะมีการปิดงานรับรู้รายได้เข้ามามากที่สุด ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น เนื่องจากต้นทุนขายส่วนใหญ่ของ IIG เป็นต้นทุนคงที่ ซึ่งจะไม่เพิ่มตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น

โดย IIG มีรายได้มาจาก 2 ธุรกิจหลักซึ่งทั้งสองธุรกิจนี้เติบโตค่อนข้างดีในประเทศไทย โดยธุรกิจแรกคือ คือธุรกิจ CRM ซึ่งภายหลังจากเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่าหลายธุรกิจมีการหันมาทำการขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นระบบ CRM จึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะสามารถช่วยประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวกับการขายได้อย่างครบถ้วนและรวดเร็ว ซึ่งสามารถใช้ได้กับทั้งการขายแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยลูกค้าในปัจจุบันจะเป็นกลุ่ม Bank ซึ่งทาง IIG ก็มีแผนที่จะเข้าไปหาลูกค้ากลุ่ม Non Bank มากขึ้นอีกด้วย

สำหรับธุรกิจ ERP ก็เติบโตได้ดีในประเทศไทยเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทางบริษัทใหญ่ ๆ ที่ใช้ระบบเซิร์ฟเวอร์แบบเดิมที่ตั้งอยู่ในสำนักงาน จะมีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ในการทำงาน ซึ่งระบบ ERP สามารถใช้ระบบ Cloud ทำให้ปฏิบัติงานได้ทุกที่ ตอบสนองนโยบาย Work from Home ให้กับลูกค้าได้

นายวรชัย กล่าวว่า ตอนนี้ยังคงให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 30 บาท แต่อาจจะปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปีหน้า ซึ่งจะเป็นราคาที่สูงขึ้น

ส่วนบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ธุรกิจของ IIG ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เนื่องจากเป็นธุรกิจวางระบบซอฟต์แวร์ อย่าง CRM หรือ ERP ซึ่งได้ประโยชน์จากการ Work From Home โดยลูกค้าส่วนมากในธุรกิจ CRM เป็นบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีฐานเป็นลูกค้ารายย่อย เช่นลูกค้ากลุ่ม Bank หรือ ลูกค้ากลุ่ม B2C ด้านธุรกิจ ERP ก็มีลูกค้าทุกรูปแบบเพราะเกือบทุกบริษัทจะต้องใช้ระบบ Cloud เพื่อให้เหมาะสมกับการ Work from home ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ คาดว่ากำไรจะโตได้ดีเฉลี่ยประมาณ 31% ต่อปี สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังก็เป็นช่วงที่กำไรจะดีกว่าครึ่งแรกพอสมควร เนื่องจากเหตุผลทาง Seasonal ซึ่งตามปกติรายได้ของ IIG จะต่ำสุดในไตรมาสแรก และเพิ่มขึ้นทุก ๆ ไตรมาสก่อนสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายของปี รวมถึงยังมี Upside จากดีล M&A เพื่อต่อยอดธุรกิจด้าน Software ให้ครบวงจรมากขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ส.ค. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top