TU หั่นงบลงทุนปี 64 เหลือ 5 พันลบ.,เล็งแยกธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเข้าตลาดหุ้น

นางสาวเกวลี ทองสมอางค์ หัวหน้าหน่วยนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดเงินลงทุนในปี 64 มาที่ 5 พันล้านบาท จากเดิมตั้งงบไว้ 6.0-6.5 พันล้านบาท เนื่องจากมีบางโครงการที่ต้องเลื่อนไปในปีหน้าหลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 อาทิ โครงการที่จะต้องมีการก่อสร้างต้องหยุดการดำเนินงานไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ทั้งนี้ บริษัทจะเน้นลงทุนโครงการสินค้านวัตกรรม อาทิ โรงงานผลิต Protein hydrotysate and collagen peptide plant ที่จะแล้วเสร็จในปี 65, อาหารเสริมที่จะออกสู่วางตลาดในไตรมาส 3-4 ปี 64 , ผลิต Functional beverage ร่วมกับไทยเบฟ โดยใช้วัตถุดิบหรือสารอาหารจากท้องทะเลของบริษัท คาดว่าจะวางจำหน่ายสินค้าภายในสิ้นปีนี้

รวมถึงโครงการใหม่ Culinary Project เป็นโรงงานสร้างใหม่มีระบบ Automation เป็นการรวมโรงงานเก่า 3 โรงมาไว้ในที่เดียวกัน และเพิ่มกำลังผลิตขึ้น 38% ในสินค้าพร้อมทาน ได้แก่ ติ่มซำ และเบเกอร์รี่ ด้วยงบลงทุน 1,100 ล้านบาท คาดจะพร้อมผลิตเพื่อขายในไตรมาส 3/65

นางสาวเกวลี กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/64 คาดว่าจะออกมาใกล้เคียงกับไตรมาส 2/64 ที่มีการติบโตต่อเนื่องจากยอดขายสินค้าอาหารทะเลแช่เย็นแช่เข็ง รวมทั้งธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง (PET Care) ที่เติบโตจากความต้องการสูงขึ้น ขณะที่อาหารทะเลแปรรูปมียอดขายลดลงหลังจากที่ผู้บริโภคสต๊อกสินค้าไว้ค่อนข้างมากเมื่อปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ทั้งปี 64 คาดว่ายอดขายของบริษัทยังเติบโต 3-5% ได้ตามเป้าหมาย หลังจากยอดขายครึ่งแรกของปีนี้เติบโตไปแล้ว 4.4% ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าช่วยสนับสนุนให้ยอดขายในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้นด้วย อีกทั้งในส่วนอาหารสัตว์เลี้ยงมียอดขายเติบโต 10-12%ต่อปี

ส่วนธุรกิจ Red Lobster ปีนี้ยังมีผลขาดทุนต่อเนื่องจากปีก่อน แต่จะขาดทุนลดลงเหลือประมาณ 200-300 ล้านบาท และปีหน้าพยายามจะทำให้ธุรกิจ Break event หรือไม่มีผลขาดทุน และคาดปี 66 จะพลิกมาเป็นกำไร หลังจากร้านอาหารในสหรัฐฟื้นตัวชัดเจนจากเปิดดำเนินการได้แล้วจากที่มีการกระจายวัคซีนโควิดมากขึ้นในสหรัฐ

ด้านธุรกิจทูน่า บริษัทคาดว่าราคาทูน่าในช่วงที่เหลือปีนี้จะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,300-1,700 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งเป็นระดับที่บริษัทสามารถบริหารจัดการได้ โดยในเดือน ก.ค.64 ราคาทูน่าอยู่ที่ 1,500 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากไตรมาส 2/64 ราคาอยู่ที่ 1,323 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มี 1,267 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 5%

อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นในปี 64 ปรับเพิ่มคาดการณ์เป็น 17-18% จากเป้าหมาย 17% เนื่องจากในไตรมาส 2/64 มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นมาที่ 19% ซึ่งเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ขึ้นสูงติดต่อกันมา 6 ไตรมาสแล้ว

บริษัทยังวางแผนงานต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไป โดยมีเป้าหมายผลักดันรายได้จากสินค้านวัตกรรมให้เพิ่มเป็น 10% ของรายได้ และอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20% เพื่อผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นรวมของทั้งกลุ่ม TU ปรับตัวสูงขึ้น พร้อมทั้งมีแผนแยกหน่วยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงออกมาและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป หลังจากที่ บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) ที่ spin off และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปีนี้

ส่วนการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A) ของบริษัท ก็ยังอยู่ในแผพ แต่ไม่ใช่เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ เน้นในการลงทุนบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กมากกว่า เพื่อเพิ่มอัตรากำไร

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ส.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top