ก้าวไกล เปิดหลักฐานคัดเลือกนตท. ซัดนายกฯ สะสมอำนาจ/ติงใช้งบฯไม่คุ้มค่า

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โดยระบุว่า ไร้ประสิทธิภาพ บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ จงใจละเลยให้มีการหาผลประโยชน์จากภาษีของประชาชน บริหารใช้จ่ายงบประมาณโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ แต่กลับเอางบประมาณไปใช้ในทางที่สร้างบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง เพื่อสะสมอำนาจของตนเอง

ทั้งนี้ นายพิจารณ์ ได้กล่าวถึง การสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนเตรียมทหารที่ลดลง สะท้อนความไม่เชื่อมั่นในกองทัพ จากปี 56 มีผู้สมัครเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร 76,012 คน แต่ในปี 64 กลับเหลือเพียง 30,836 คน ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ภาพลักษณ์ตำรวจและทหารแย่ลง และสิ่งที่นายกรัฐมนตรีกำลังทำ ไม่ได้ทำให้กองทัพมีความทันสมัย ไม่ได้สร้างให้เป็นทหารมืออาชีพ ที่มีความซื่อสัตย์มีคุณภาพ และยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย แต่กองทัพที่นายกรัฐมนตรีกำลังสร้าง เป็นกองทัพที่สยบยอมต่ออำนาจพล.อ.ประยุทธ์ และเครือข่าย และยอมต่อขนบธรรมเนียมอุปถัมภ์ พร้อมที่จะตามคำสั่งนายไม่ว่าจะถูกจะผิด

ซึ่งกระบวนการเริ่มจากการคัดเลือกคนที่จะเข้าสู่โรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งในส่วนของการสอบสัมภาษณ์ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการนำนายทหารและตำรวจประจำหน่วยงานอื่นมาเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ ซึ่งเกิดขึ้นในทุกเหล่าทัพ

โดยนายวิจารณ์ได้กล่าวถึงเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก มีการตั้งคำถามเพื่อสอบถามความเห็นต่อการชุมนุมของม็อบสามนิ้ว คำถามเรื่องทางการเมือง และคำถามเกี่ยวการบริหารงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ และยังมีการตั้งคำถามเพื่อคัดเอาผู้สมัครที่มีความหลากหลายทางเพศออกไป

ซึ่งได้มีการนำคลิปเสียงเกี่ยวกับแนวทางการให้สัมภาษณ์ของนายพลคนหนึ่งที่ให้ไว้กับกรรมการสอบสัมภาษณ์ รวมถึง คลิปเสียงที่ตั้งคำถามกับผู้เข้าสอบเกี่ยวกับการชุมนุมม็อบในปัจจุบัน คำถามเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดและทัศนคติต่อการบริหารงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ และทัศนคติต่อการทำรัฐประหาร

“ผมเห็นว่า มีความพยายามคัดเลือกนักเรียนเตรียมทหารที่จะเติบโตไป เป็นทหารที่อยู่ในโอวาส อยู่ขั้วอำนาจเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์ สยบยอมต่อระบอบปรสิตที่กัดกินประเทศนี้ และนี้คือ การเอางบประมาณแผ่นดินไปบ่มเพาะเมล็ดพันธ์แห่งความเกลียดชัง เพื่อสะสมอำนาจกองทัพของตัวเอง”

นายวิจารณ์ กล่าว

นายวิจารณ์ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการนำเครื่องบินลำเลียง C295 และเฮลิคอปเตอร์ MI-17ไปขนย้ายผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา ซึ่งเกณฑ์ขนย้ายต้องเป็นผู้ป่วยระดับสีเขียวและไม่มีอาการเท่านั้น โดยได้ยกตัวอย่างการขนย้ายจากกทม.ไปยังจ.พิจิตร มีระยะทางไม่ถึง 400 กิโลเมตร ใช้งบประมาณบินไป-กลับ ใช้งบเกือบหนึ่งแสนบาท สำหรับค่าน้ำมัน ซึ่งมองว่า การทำภารกิจแบบนี้เป็นเพียงการสร้างภาพเท่านั้น และงบที่ใช้หากเอามาเตียงสนาม หรือจัดซื้อชุดตรวจ ATK จะมีประโยชน์กว่าหรือไม่

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.ย. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top