รัฐบาลพร้อมหนุน Factory Sandbox เพื่อฟื้นศก.ไทย สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตรวจเยี่ยมบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ จำกัด (แหลมฉบัง) จ.ชลบุรี ตามโครงการ Factory Sandbox ซึ่งเป็นหนึ่งโครงการนำร่องในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน โดย มร.โมะริคาซุ ชกกิ ประธานคณะกรรมการบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ได้จัดทำโครงการ Factory Sandbox ถือเป็นมาตรการของรัฐที่ช่วยยกระดับความปลอดภัย และลดโอกาสการติดเชื้อโควิด-19 ให้แก่พนักงาน ครอบครัวของพนักงาน และชุมชนโดยรอบ

การช่วยเหลือชุมชน และสังคมให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในภารกิจที่สำคัญของบริษัทในฐานะที่เป็นพลเมืองของสังคมไทย โดยโครงการ Factory Sandbox นี้ ช่วยให้มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ส่งออกรายใหญ่ของประเทศ สามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศไทยสามารถกลับมาฟื้นตัวได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ได้นำความห่วงใยจากรัฐบาลไปยังทุกภาคส่วน ยืนยันว่า จะดูแลทุกคนให้ดีที่สุด โดยเฉพาะโรงงานทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก จำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นตามวาระของโลก ซึ่งรัฐบาลเตรียมพร้อมการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับมาตรการต่างๆจากทั่วโลกด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต

ในส่วนโครงการ Factory Sandbox นายกรัฐมนตรีรู้สึกสบายใจต่อมาตรการการดำเนินงานของโรงงานขนาดใหญ่ แต่เป็นห่วงกังวลต่อการดำเนินการสำหรับโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็ก ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนขยายการดำเนินโครงการ Factory Sandbox ให้มากขึ้น เพื่อฟื้นเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า จะลงพื้นที่ดูการดำเนินธุรกิจในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลดำเนินงาน เพราะทุกวันนี้ถือเป็นโลกแห่งเทคโนโลยีและดิจิทัล ที่ต้องมีการเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์ให้มากที่สุด โดยรัฐบาลได้เดินหน้าจัดทำบิ๊กดาต้า เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงฐานข้อมูล

ทั้งนี้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่อีอีซีเพราะเป็นการวางอนาคตประเทศไทย โดยต้องดูว่าจะทำอย่างไรที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เพื่อให้ตัวเลขจีดีพีของประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยพร้อมสนับสนุนสมาร์ทวีซ่า เพื่อให้ต่างประเทศสามารถมาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ประเทศไทยได้ และยืนยันว่า รัฐบาลเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะมีปัญหาใดๆก็ตาม ยังคงที่จะมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก

“มุ่งหวังให้ประเทศไทยปลอดภัยจากโควิดหรือให้สามารถอยู่ร่วมกับโควิดได้ ทั้งนี้โลกยุคหลังโควิดจะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า ระบบสาธารณสุขของไทยดีที่สุดในโลก เพราะไทยได้ทำหลายอย่างที่ต่างประเทศไม่ได้ทำ ซึ่งหลายประเทศที่ได้มาพบปะหารือกัน ก็พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยเฉพาะมาตรการเปิดประเทศ เช่น ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ที่หลายประเทศจะนำไปเป็นต้นแบบ ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย จึงขอให้เชื่อมั่นระบบสาธารณสุขของไทย”

 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พร้อมกันนี้รัฐบาลมุ่งมั่นส่งเสริมการลงทุนในไทยให้มากขึ้น โดยเน้นการพัฒนาจากรถยนต์แบบปกติไปสู่การพัฒนาการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น 30% เพื่อนำไปสู่การลดโลกร้อน เพื่อเป็นการรองรับมาตรการลดโลกร้อนที่ทั่วโลกจะปฏิบัติกัน โดยภาคอุตสาหกรรมจะต้องปรับตัวควบคู่กับนโยบายของรัฐบาลด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณประเทศญี่ปุ่นและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่เป็นมหามิตรที่ดีต่อประเทศไทยมายาวนาน ยินดีร่วมมือในมิติต่าง ๆ พร้อมขอบคุณนักลงทุนญี่ปุ่นที่มีความเชื่อมั่นเดินหน้าในธุรกิจ หวังให้มีการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ขอให้ทุกคนรวมพลังจับมือให้มั่น ฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกันพลิกโฉมประเทศไทย เดินหน้าไปด้วยกัน เพื่อประเทศไทย

ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีนนั้น นายกรัฐมนตรีกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนราชการในท้องที่ ดูแลให้ประชาชนได้ฉีดวัคซีนให้มากที่สุด โดยเฉพาะลูกจ้างแรงงานต้องดูแลให้ทั่วถึง เพราะเป็นกำลังสำคัญในการผลิต หากสามารถดำเนินการได้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการต่างประเทศ เกิดการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น พร้อมฝากให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ กำหนดมาตรการดูแลลูกจ้าง และครอบครัวของลูกจ้าง ส่วนตัวแล้วนายกรัฐมนตรีไม่พอใจกับยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 พร้อมให้ความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่ในการจัดหาวัคซีนให้ประชาชนคนไทยทุกคนได้ฉีดวัคซีนมากที่สุด

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ฝากให้ภาคอุตสาหกรรมคำนึงถึงภาวะโลกร้อน ขอให้ปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น และฝากให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เร่งสำรวจแก้ไขปัญหาการเกษตรจะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจต่อเกษตรกร นำวิธีการทำเกษตรแบบใหม่ เพื่อลดต้นทุนเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่เพาะปลูกสินค้าเกษตร จะต้องปลูกในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง ขอให้เร่งดำเนินการรับรองเอกสารสิทธิ์ในการเพาะปลูกให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันแกัไขปัญหาการกีดกันสินค้าในอนาคต

ด้าน Mr. Ogawa Eiji ผู้แทนนักลงทุนชาวญี่ปุ่น กล่าวเสนอประเด็นการลงทุนและการส่งออก พร้อมขอให้รัฐบาลสนับสนุนสถานประกอบการที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง ดังนี้

  1. สนับสนุนโครงการ Factory Sandbox ขยายไปยังสถานประกอบการที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยองให้มากขึ้น รวมถึงพิจารณาเรื่องการจัดสรรวัคซีนให้ประชาชนในชุมชนอย่างทั่วถึง
  2. ช่วยพิจารณาการผ่อนปรนมาตรการการกักตัวให้สั้นลงจนกระทั่งการยกเลิก เพื่อให้การเดินทางระหว่างประเทศของภาคเอกชนเข้าสู่ภาวะปกติ
  3. สนับสนุนโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และโครงสร้างพื้นฐาน ความสามารถด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ เพื่อความเจริญก้าวหน้าในการดำเนินธุรกิจในจังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยองต่อไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ย. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top