ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 338.48 จุด ขานรับเฟดไม่ระบุไทม์ไลน์หั่น QE

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (22 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ระบุไทม์ไลน์ที่ชัดเจนในการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) โดยส่งสัญญาณเพียงว่าจะปรับลด QE ในไม่ช้านี้ ซึ่งต่างจากที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ว่าเฟดจะส่งสัญญาณปรับลด QE ในเดือนพ.ย.

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,258.32 จุด เพิ่มขึ้น 338.48 จุด หรือ +1.00%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,395.64 จุด เพิ่มขึ้น 41.45 จุด หรือ +0.95%
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,896.85 จุด เพิ่มขึ้น 150.45 จุด หรือ +1.02%

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ และส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับลดวงเงิน QE ในไม่ช้าหากเศรษฐกิจมีความคืบหน้าตามที่คาดการณ์ไว้ โดยปัจจุบันเฟดทำ QE ในวงเงินอย่างน้อย 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน

นักวิเคราะห์จากบริษัท Kingsview Investment Management กล่าวว่า เฟดส่งสัญญาณปรับลดวงเงิน QE แต่ไม่ได้ระบุไทม์ไลน์ที่ชัดเจนว่าจะปรับลดเมื่อใด หรือปรับลดจำนวนเท่าใด ซึ่งท่าทีของเฟดในการประชุมล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นว่า เฟดยังไม่เร่งถอนมาตรการกระตุ้นด้านการเงินซึ่งเฟดได้นำมาใช้เพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ลงสู่ระดับ 5.9% จากระดับ 7.0% และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราว่างงานในปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 4.8% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐยังซบเซา และยังไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่เฟดต้องการบรรลุเป้าหมายก่อนที่จะตัดสินใจปรับลดวงเงิน QE

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 3.19% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้นกว่า 2% ขานรับตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ทั้งนี้ หุ้นไดมอนด์แบ็ค เอนเนอร์จี ทะยานขึ้น 5.42% หุ้นมาราธอน ออยล์ พุ่งขึ้น 5.3% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดีดขึ้น 1.39% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 4.96% หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.93% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 2.93%

ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น 2.1% หลังจากผลการประชุมเฟดเมื่อวานนี้ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นในปี 2565 ซึ่งเร็วกว่าถึง 1 ปีเมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดิม โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.61% หุ้นเจพีมอร์แกน บวก 1.9% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.56% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 2.54%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์ ทะยานขึ้น 3.06% หุ้นแอมะซอน ดีดขึ้น 1.09% หุ้นไมโครซอฟท์ บวก 1.28% หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.69% หุ้นอัลฟาเบท บวก 0.9% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี พุ่งขึ้น 2.54%

นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป หลังจากบริษัทเหิงต้า เรียล เอสเตท กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเอเวอร์แกรนด์ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นว่า บริษัทสามารถบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ในการเจรจาเกี่ยวกับแผนการชำระดอกเบี้ยวงเงิน 232 ล้านหยวน หรือราว 35.88 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนก.ย.2568

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 2% สู่ระดับ 5.88 ล้านยูนิตในเดือนส.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.89 ล้านยูนิต โดยยอดขายบ้านมือสองได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่พุ่งสูง, สต็อกบ้านในระดับต่ำ และราคาวัสดุสร้างบ้านที่พุ่งขึ้น

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนส.ค.จากเฟดชิคาโก, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ย.จากมาร์กิต และยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ย. 64)

Tags: , , ,
Back to Top