ตลาดหุ้นเอเชียปิดเช้าลบ วิตกวิกฤตพลังงานในจีน-เอเวอร์แกรนด์ไร้ความเคลื่อนไหว

ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป หลังผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 2 งวดเมื่อวันที่ 23 ก.ย. รวมถึงปัญหาการขาดแคลนพลังงานในจีน

  • ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 30,139.65 จุด ลดลง 100.41 จุด หรือ -0.33% และ
  • ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 24,561.75 จุด เพิ่มขึ้น 352.97 จุด หรือ +1.46%

ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ได้ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 2 งวดที่มีกำหนดชำระวันที่ 23 ก.ย. โดยผิดนัดชำระดอกเบี้ยวงเงิน 232 ล้านหยวน หรือราว 35.88 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้สกุลเงินหยวนที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนก.ย. 2568 รวมทั้งดอกเบี้ยวงเงิน 83.5 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค. 2565 แม้ว่าประธานบริษัทออกแถลงการณ์สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนเมื่อช่วงเช้าวันที่ 23 ก.ย. ขณะที่ทางการจีนก็ได้แจ้งเตือนบริษัทให้ทำการชำระหนี้หุ้นกู้สำหรับนักลงทุนรายย่อย รวมทั้งหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้สำหรับหุ้นกู้สกุลดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ผู้บริหารของเอเวอร์แกรนด์ก็ยังคงเก็บตัวเงียบ โดยไม่ได้ออกแถลงการณ์ใด ๆ ต่อผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัท รวมทั้งไม่ได้ยื่นหนังสือชี้แจงต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกง

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาวิกฤตพลังงานในจีน โดยรายงานระบุว่า มณฑลบางแห่งในจีนเผชิญกับการขาดแคลนไฟฟ้าอย่างหนัก เนื่องจากต้นทุนถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่พุ่งทะยานขึ้นทำให้ผู้ผลิตไฟฟ้าชะลอการผลิต ท่ามกลางความต้องการใช้ที่สูงขึ้น ขณะที่บางมณฑลได้สั่งให้ลดการดำเนินงานในภาคอุตสาหกรรมลง เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการปล่อยมลพิษ

ทางด้านนายหาน จุน ผู้ว่าการมณฑลจี้หลินซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบหนักสุดจากวิกฤตพลังงานในจีนกล่าวว่า รัฐบาลจีนควรเพิ่มการนำเข้าถ่านหินจากรัสเซีย อินโดนีเซีย และมองโกเลีย เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงานซึ่งกำลังสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในประเทศ

ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้โกลด์แมน แซคส์ ปรับลดคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนในปี 2564 ลงสู่ระดับ 7.8% จากระดับ 8.2% โดยระบุว่า ปัญหาขาดแคลนพลังงานและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงอย่างมากนั้น ได้เพิ่งแรงกดดันให้เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.ย. 64)

Tags:
Back to Top