ตลาดหุ้นเอเชียปิดเช้าลบ เหตุบอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่งกดดันตลาด

ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวลง เนื่องจากยังคงมีแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงแรงกดดันเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ

  • ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 29,442.14 จุด ร่วงลง 741.82 จุด หรือ -2.46% และ
  • ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 24,389.78 จุด ลดลง 110.61 จุด หรือ -0.45%

ตลาดหุ้นในภูมิภาคถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ที่พุ่งทะลุ 1.54% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อหุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยสาเหตุที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ มาจากความวิตกเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ รวมทั้งการที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดถึง 1 ปี

ส่วนบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของจีน เปิดเผยในวันนี้ว่า บริษัทมีแผนที่จะขายหุ้นมูลค่า 9.99 พันล้านหยวน (1.5 พันล้านดอลลาร์) ที่ทางบริษัทถือครองอยู่ในธนาคารเสิ้งจิง (Shengjing Bank) ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐบาลจีน เพื่อระดมเงินทุนในช่วงเวลาที่เอเวอร์แกรนด์กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินจำนวนมาก

ในรายงานที่เอเวอร์แกรนด์ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงระบุว่า หุ้นของธนาคารเสิ้งจิงจำนวน 1.75 พันล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 19.93% ของทุนเรือนหุ้นของธนาคารนั้น จะถูกขายให้กับบริษัทเสิ่นหยาง เสิ้งจิง ไฟแนนซ์ อินเวสต์เมนท์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทจัดการเงินทุนและสินทรัพย์ของรัฐบาลจีน ในราคาหุ้นละ 5.70 หยวน ซึ่งจะส่งผลให้เสิ่นหยาง เสิ้งจิง ไฟแนนซ์ อินเวสต์เมนท์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของธนาคารเสิ้งจิง

นักลงทุนในตลาดการเงินยังจับตาเอเวอร์แกรนด์ซึ่งมีกำหนดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้วงเงิน 47.5 ล้านดอลลาร์ในวันนี้สำหรับหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค. 2567 หลังจากที่ทางบริษัทผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ 2 งวดที่มีกำหนดชำระเมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่เปิดเผยวันนี้ กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้รายงานว่า ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.ของเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้น 6.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 12.6 ล้านล้านวอน (1.06 หมื่นล้านดอลลาร์) เนื่องจากการแพร่ระบาดรอบใหม่ของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการซื้อสินค้าออนไลน์ปรับตัวสูงขึ้น โดยยอดค้าปลีกของเกาหลีใต้ขยายตัวด้วยอัตราเลขสองหลักเป็นเวลา 6 เดือนนับจนถึงเดือนก.ค. แต่อัตราการขยายตัวได้ชะลอลงในเดือนส.ค. ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่มีแนวโน้มชะลอตัวลง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 64)

Tags: ,
Back to Top