บลจ.ไทยพาณิชย์ เชียร์ลงทุนกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน-REITs รับแนวโน้มศก.ฟื้นตัว

นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่ส่งผลให้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกยังคงมีการขยายตัวได้ดี ประกอบกับสถานการณ์การเงินของโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกปัจจุบันมีความแข็งแกร่งอย่างมาก เนื่องจากมีระดับหนี้สินค่อนข้างต่ำ รวมถึงภาวะดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่ยังอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะหนึ่ง ส่งผลให้สินทรัพย์กลุ่มนี้มีความน่าสนใจในการลงทุน ด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว

ทั้งนี้ บริษัทแนะนำกองทุนที่เป็นทางเลือกการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ระหว่างทางจากการลงทุน รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากสัญญาค่าเช่าจะปรับตัวตามอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงนักลงทุนเพื่อต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อได้ในทุกช่องทางรวมถึงผู้สนับสนุนการขายทุกราย

ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิ้ล (SCB Property and Infrastructure Flexible Fund : SCBPIN) เน้นลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐานในไทยและต่างประเทศซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความได้เปรียบด้านกระแสเงินสดรับคาดการณ์ที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าตามสัญญา เช่น อาคารสำนักงาน, ห้างสรรพสินค้า และ คลังสินค้า เป็นต้น ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดไทยประมาณ 35% สิงคโปร์ประมาณ 60% และเงินฝากหรือสินทรัพย์อื่นอีกประมาณ 5% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564) โดยกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์เนื่องจากมีความสัมพันธ์ต่ำกับสินทรัพย์การลงทุนอื่น

อีกทั้งยังสามารถเป็นทางเลือกการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ระหว่างทางจากการลงทุน รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้ออีกด้วย ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ตามความเหมาะสมสำหรับสภาวการณ์ในแต่ละขณะ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการลงทุน

นอกจากนี้ กองทุน SCBPINA และ SCBPIND ยังจัดเป็นกองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Property – Indirect Flexible ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564) เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว ซึ่งคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป โดยบริษัทฯ ได้เปิดให้นักลงทุนทั่วไปได้เลือกลงทุนถึง 4 Share Class ได้แก่ (1) SCBPINA – ชนิดสะสมมูลค่า (2) SCBPIND – ชนิดจ่ายปันผล (3) SCBPINP – ชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม/บุคคล และ (4) SCBPIN-SSF – ชนิดเพื่อการออม

สำหรับการลงทุนเบื้องต้นจะเน้นการลงทุนในสิงคโปร์มากกว่าไทย จากการเปิดประเทศที่มีแนวโน้มเร็วกว่า และจากการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมเกินกว่า 70% ของประชากร ประกอบกับสินทรัพย์ของ REIT สิงคโปร์มีคุณภาพค่อนข้างสูงในหลายด้านทั้งการกระจายความเสี่ยง สภาพคล่อง การซื้อสินทรัพย์ใหม่ และอัตราการเติบโต โดยกองทุนจะเน้นคัดเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง และได้รับผลกระทบน้อยจากความผันผวนของเศรษฐกิจ

นางนันท์มนัส กล่าวว่า สภาวะเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลกยังคงเอื้อต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ถึงแม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวลงในกลุ่มประเทศที่มีการกระจายวัคซีนได้ดีอย่างสหรัฐฯ หรือจีน แต่ก็ยังคงขยายตัวได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนการระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกยังมีสัดส่วนของ REIT ในกลุ่ม New Economy เช่น Cell Tower, Data Center, Logistic สูงกว่า 50% ทำให้มีอัตราการเติบโตของกำไรในระดับค่อนข้างสูง ส่งผลให้ยังคงมีความน่าสนใจลงทุนทั้งในแง่การกระจายความเสี่ยง และการเติบโตในอนาคตสำหรับการลงทุนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกคาดว่าอาจจะมีการปรับขึ้นไม่สูงมาก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาถือว่าเป็นตลาดที่มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และราคาปรับขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า

สำหรับการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาใน REIT ไทยและสิงคโปร์ นับว่าได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 กลายพันธ์เดลต้าค่อนข้างมาก ส่งผลให้ผลประกอบการยังคงถูกกดดันจากมาตรการล็อคดาวน์ อย่างไรก็ตาม การทยอยกลับมาเปิดประเทศในช่วงไตรมาส 4 ถึงปีหน้า จะสามารถสร้างโอกาสการลงทุนใน REIT ไทยและสิงคโปร์ได้ โดยคาดว่าผลตอบแทนจะสูงกว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกจากราคาที่ปรับขึ้นน้อยกว่าในช่วงที่ผ่านมา

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top