โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี เคาะช่วงราคา IPO ที่ 6.8-7.5 บ.คาดเทรดต้น พ.ย.

นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ บมจ. โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย)  (JP) เปิดเผยว่า ได้กำหนดช่วงราคาหุ้น IPO ที่ 6.80-7.50 บาท โดยคาดว่าจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นในช่วงปลายเดือน ต.ค. ก่อนที่จะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในต้นเดือน พ.ย.

 
ทั้งนี้ JP มีโอกาสการเติบโตสูงจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เข้าสู่สังคมแห่งการดูแลสุขภาพที่ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่ง JP มีการนำความเชี่ยวชาญด้านการผลิตยา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มยาแผนปัจจุบัน กลุ่มยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากธรรมชาติและผลิตภัณฑ์โปรตีนเสริมจากพืช (Plant-base Protein) โดยล่าสุด บริษัทฯ มีความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์กับหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษา ที่พร้อมต่อยอดองค์ความรู้สู่นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ควบคู่กับการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ให้มากขึ้น ซึ่งจะผลักดันแผนการดำเนินงานของ JP ให้เติบโตได้ดีในระยะยาวต่อไป
 
นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า ปัจจุบัน JP มีทุนจดทะเบียนรวม 227.5 ล้านบาท แบ่งเป็น 455 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 170 ล้านบาท คิดเป็น 340 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 115 ล้านหุ้น คิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 25.27 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นในครั้งนี้
 
ด้านนายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JP เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนา ผลิตและจำหน่าย ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจร ที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมานานกว่า 70 ปี ด้วยทีมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถต่อยอดงานวิชาการสู่นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์ ภายใต้ตราสินค้าบริษัท (Own Brand) และขยายฐานกลุ่มลูกค้า OEM เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในเชิงดูแล ป้องกันและรักษาโรค ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการจดทะเบียนยาที่พร้อมใช้เป็นยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ และอาหารเสริมแล้วกว่า 2,000 ผลิตภัณฑ์
 
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ภายใต้ Own Brand ซึ่งจะประกอบด้วย ยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาผู้ป่วย ภายใต้ตราสินค้า COXTM ไม่น้อยกว่า 1 รายการต่อปี ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์โปรตีนเสริมจากพืช (Plant-base Protein) ภายใต้ตราสินค้า “สุภาพโอสถTM” ไม่น้อยกว่า 2 รายการต่อปี และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับบำรุงสุขภาพและความงาม ภายใต้ตราสินค้า EVITONTM ไม่น้อยกว่า 4 รายการต่อปี โดยวางจำหน่ายผ่านช่องทางที่หลากหลาย (Multi -Channel Marketing) ทั้งร้านขายยาทั่วไป ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านสะดวกซื้อ ทีวีโฮมช้อปปิ้งและช่องทางออนไลน์ (Online Channel) ในมาร์เก็ตเพลส เช่น Shopee Lazada รวมถึงเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศเพิ่มเติม
 
ขณะเดียวกัน บริษัทได้มุ่งเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านการบริหารต้นทุนเพื่อผลกำไรที่เพิ่มขึ้น จากแผนลงทุนขยายกำลังการผลิตให้เกิดการประหยัดต่อขนาด หรือ Economy of Scale ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเติบโตสูง เช่น ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีความสามารถด้านการผลิตที่หลากหลายทั้ง ปริมาณ ขนาด ส่วนผสม รูปแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ภายใต้มาตรฐานวิธีการผลิตสำหรับการผลิตยา (GMP PIC/s) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สอดคล้องและทัดเทียมกับมาตรฐานของสหภาพยุโรปและมาตรฐาน GMP สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทำให้ JP ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างยาวนาน
 
นางสาวจิรดา แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน JP กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (61-63) บริษัท สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้ที่ 348.88 ล้านบาท 360.69 ล้านบาท และ 455.64 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งบริษัทได้มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มภายใต้ Own Brand โดยมีสัดส่วนรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 21-25% และยังช่วยส่งเสริมความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นที่ดีกว่าการรับจ้างผลิต OEM ทำให้กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือทำได้ 12.39 ล้านบาทในปี 61 เพิ่มเป็น 23.57 ล้านบาทในปี 62 และในปี 63 เติบโตเพิ่มเป็น 31.08 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 3.52% 6.44% และ 6.71% ตามลำดับ
 
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 207.36 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายแบรนด์ OEM  57.61% และ Own Brand 37.56% ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีสัดส่วนการขาย 13.75% และกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ทำได้ 19.37 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 9.24% ของรายได้รวม
 
นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า JP มีศักยภาพเติบโตสูงจากข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม อีกทั้งมีบริการให้กับลูกค้ากลุ่ม OEM ที่เป็นแบบครบวงจร (one-stop service) ประกอบกับกลยุทธ์การดำเนินงานที่มุ่งทำตลาดสินค้าภายใต้ Own Brand เพื่อผลักดันกำไรต่อการขายสินค้าต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตของ JP ได้
 
สำหรับการนำเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ JP จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปส่งเสริมศักยภาพการเติบโตในระหว่างปี 64-67 ประกอบด้วย 1. โครงการพัฒนาและแปรรูปพืชไข่น้ำเพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์ ได้แก่ การสร้างอาคารแปรรูปและซื้อเครื่องจักรแปรรูปไข่น้ำเป็นสินค้าสำเร็จรูป 2.ใช้เงินลงทุนเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ TV Home Shopping เพื่อสร้างการรับรู้ถึงคุณสมบัติของตัวสินค้าใหม่ที่จะออกสู่ตลาดในช่วงปี 64-66 และ
 
และสุดท้ายจะนำไปใช้ในโครงการปรับปรุงและขยายโรงงานทั้งในส่วนกรุงเทพฯและจังหวัดลำพูน โดยปรับปรุงห้องวิจัยและตรวจสอบคุณภาพของโรงงานในกรุงเทพฯ และขยายไลน์การผลิตอาหารเสริมประเภท Soft gel และขยายพื้นที่คลังสินค้าที่โรงงานในจังหวัดลำพูน ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัทฯ ต่อไป

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ต.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top