KTB เผยกำไร 9 เดือนปี 64 โต 25.3% คงตั้งสำรองสูง, NPL ลดลงเป็น 3.57%

ธนาคารกรุงไทย (KTB) ประกาศผลดำเนินงานช่วง 9 เดือนปี 64 มีกำไรสุทธิ 16,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เฉพาะไตรมาส 3/64 มีกำไรสุทธิ 5,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สินเชื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่งพร้อมบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด คงการตั้งสำรองในระดับสูงเพิ่ม Coverage ratio เป็น 163.9% เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้าดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ KTB เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังเผชิญความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ธนาคารและบริษัทย่อยจึงใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ โดยพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss) ในระดับสูง บริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ พร้อมให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ประคองธุรกิจให้อยู่รอดและกลับมาเติบโตได้ในระยะข้างหน้า เมื่อรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการและกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง หนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัว

สำหรับผลประกอบการช่วง 9 เดือนของปี 64 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 16,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 24,291 ล้านบาท แม้ว่าลดลง 31.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังเป็นการตั้งสำรองในระดับสูง ส่งผลให้ Coverage ratio เท่ากับ 163.9% เพิ่มขึ้นจาก 147.3% ณ สิ้นปี 63 และ NPLs Ratio-Gross อยู่ที่ 3.57% ลดลงจาก 3.81% ณ สิ้นปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี ผลจากการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ เท่ากับ 47,841 ล้านบาท ลดลง 11.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ลดลง 8.3% ตามรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง แม้ว่าสินเชื่อจะขยายตัวได้ดีถึง9.6% จากสิ้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษเงินให้สินเชื่อจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจำนอง รวมถึงการลดลงของดอกเบี้ยเงินลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งส่งผลให้ NIM เท่ากับ 2.52%

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 3.8% จากการบริหารจัดการในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 44.28% ใกล้เคียงกับ 44.45% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ)

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/64 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 5,055 ล้านบาท ลดลง 15.9% จากไตรมาสที่ผ่านมา จากกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ที่ลดลง 8.3% ตามรายได้จากการดำเนินงานที่ลดลง 1.8% แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะขยายตัว 1.1% จากสินเชื่อที่ขยายตัวได้ดีและการบริหารต้นทุนทางการเงิน โดย NIM อยู่ที่ 2.51% ลดลงเล็กน้อยจาก 2.55% ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 7.0% จากค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการขาดทุนจากการด้อยค่าทรัพย์สินรอการขาย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ต.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top