L&E ปรับกลยุทธ์หลังโควิดชูสินค้าเชื่อม IoT รักษาจุดแข็งตลาดในปท.-ขยายส่งออก

นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ (L&E) เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลประกาศเริ่มเปิดประเทศหลังจากล็อกดาวน์เกือบ 2 ปีในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มองว่าเทคโนโลยีเชื่อมต่อภายใต้ 5G digital economy ช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจฟื้นตัวและเติบโตในยุคหลังโควิด โดยเฉพาะแนวโน้มความต้องการสินค้า รวมถึงการลงทุนที่เกี่ยวกับ loT solution สูงขึ้น เป็นการเพิ่มเครือข่าย network ขยายการเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากการใกล้ชิดกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุค New Normal

สำหรับ L&E ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้สั่งสมประสบการณ์เกี่ยวกับสินค้า loT รวมทั้งสินค้านวัตกรรม ทั้ง horticultural ไฟสำหรับปลูกต้นไม้, Entertainment Lighting ไฟสำหรับอีเว้นท์ การแสดงต่างๆ รวมทั้ง Made in Thailand ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นกลุ่มสินค้าที่เข้ายุคสมัยอินเทรนด์เพื่อรองรับกับ IT Digital Economy 5G ที่ทุกธุรกิจต้องปรับตัวมุ่งไปสู่ทิศทางนี้

ฝ่ายบริหารของ L&E จึงได้กำหนดทิศทางธุรกิจในยุคหลังโควิด 3 ส่วน คือ ส่วนแรก ภายในประเทศ L&E คงความจุดแข็งเป็น Total Lighting Solution Provider บวก Innovation เน้นพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาแข่งขันได้ รวดเร็ว รวมทั้งบริการและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะสินค้า loT ทั้งนี้ เพื่อรองรับและสอดคล้องเป้าหมายของประเทศไทยเอง ที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยี 5G เพื่อสนับสนุนกับกลุ่มธุรกิจ 5 Sectors ได้แก่ Smart City, Healthcare, Farming, Tourism, Services

ส่วนที่ 2 ในต่างประเทศ ธุรกิจใหม่ที่ผลิตสินค้าจำนวนมากๆ เพื่อการส่งออกไปอเมริกา แม้ในปัจจุบันจะมีปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สำหรับการส่งออก แต่มองแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวมีทิศทางที่ดี

นอกจากนี้ LEM และ LES ซึ่งเป็นบริษัทลูก จากประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาพร้อมพัฒนาระบบรวมทั้งเครื่องจักร โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงลดต้นทุนในสายการผลิต เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเปิดโอกาสในการหาลูกค้ารายใหม่ ดังนั้น อานิสงส์จากความร่วมมือส่งผลให้ LEM และ LES สามารถส่งออกสินค้าสู่ตลาดใหม่ๆ ทั่วโลก

ส่วนที่ 3 การปรับโครงสร้างการส่งออกของ L&E มาเป็นส่วนธุรกิจต่างประเทศ หรือ Oversea Business Division โดยเพิ่มสินค้าที่แข่งขันได้ในตลาดต่างประเทศ สนับสนุนยอดขายให้เติบโตมากขึ้น และอานิสงส์สถานการณ์โควิดผ่อนคลาย ภาพรวมตลาดทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น คาดจะสนับสนุนผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/64

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 3/4 บริษัทรายได้จากการขายและให้บริการ 664 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 48 ล้านบาท หรือลดลง 7% เป็นผลจากรายได้จากงานขายโครงการลดลง 28% สาเหตุใหญ่มาจากการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถส่งสินค้าให้ลูกค้างานโครงการได้ตามปกติเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน งานขายส่ง/ขายปลีกลดลง 12% เป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นกัน ส่วนรายได้จากงานขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 750% เป็นผลจากรายได้จากการขายสินค้าไปให้ลูกค้าปลายทางที่ประเทศอเมริกาเพิ่มขึ้น 118 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,475%

บริษัทมีกำไรสำหรับงวด 8.3 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 11.2 ล้านบาท หรือลดลง 57% เป็นผลจากกำไรขั้นต้นจากการขายรวมรายได้อื่นลดลง 24.6 ล้านบาท หรือลดลง 11% ตามรายได้จากการขายลดลง 7% แต่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงจาก 29.5% ในปี 63 เป็น 26.8% ในปี 64 เป็นผลจากสินค้าที่ส่งไปขายให้ลูกค้าปลายทางที่ประเทศอเมริกา จำนวน 118 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่ารายการสินค้าขายปกติเพราะเป็นการขายสินค้าครั้งละจำนวนมาก

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายลดลง 9.9 ล้านบาท หรือลดลง 5% สาเหตุใหญ่เป็นผลจากค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามผลการดำเนินงานได้ปรับตัวลดลง และดอกเบี้ยจ่ายลดลงเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 3.5 ล้านบาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ย. 64)

Tags: , , ,
Back to Top