BRI เคาะราคาสุดท้าย IPO 3 ธ.ค.จากช่วงราคา 10-10.50 บ./หุ้นเทรดปลาย ธ.ค.

บมจ.บริทาเนีย (BRI) คาดว่าจะประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ของหุ้น IPO ภายในเวลา 17.00 น.ของวันที่ 3 ธ.ค.64 หลังจากกำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 10.00-10.50 บาทต่อหุ้น และคาดว่าจะนำหุ้น BRI เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงปลายเดือน ธ.ค.64

BRI จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 252,650,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.6 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ โดยจะเปิดจองซื้อในวันที่ 7-9 ธ.ค.สำหรับผู้ถือหุ้นของ ORI ที่มีสิทธิจองซื้อ (Pre-emptive Right) และ 13-15 ธ.ค.นี้สำหรับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน

สำหรับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย บล.กสิกรไทย และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) รวมถึงผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 ราย ได้แก่ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) บล.ทรีนีตี้ บล.ฟินันเซีย ไซรัส และ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)

นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ ORI จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BRI (Pre-emptive Rights) มีด้ 3 วิธี ได้แก่ 1) จองซื้อผ่านระบบ Electronic Rights Offering (E-RO) บนเว็บไซต์ www.yuanta.co.th 2) ยื่นใบจองซื้อ ณ สำนักงานใหญ่ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) และ (3) การจองซื้อผ่านทางโทรศัพท์บันทึกเทป (สำหรับผู้ที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เท่านั้น) โดยสามารถจองซื้อเกินกว่าสิทธิ (ไม่กำหนดอัตราสูงสุดการจองซื้อเกินกว่าสิทธิ)

อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้น ORI จะได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิ ต่อเมื่อมีหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้น ORI ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นที่จองซื้อตามสิทธิครบถ้วนแล้วเท่านั้น

นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BRI เปิดเผยว่า บริษัทมีวิชั่นเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ ที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอยู่อาศัยและยกระดับการใช้ชีวิต โดยวางแผนยุทธศาสตร์ขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น เน้นทำเลที่อยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นแหล่งงานที่สำคัญ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือเป็นพื้นที่ที่มีอัตราเติบโตของประชากรสูงและมีการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งสาธารณะเพื่อรองรับการเดินทางของประชากรในพื้นที่ดังกล่าว

บริษัทวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง เช่น สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยองพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น โดยในปี 2565 วางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพต่างๆ เช่น จังหวัดอุดรธานี เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยมีการพัฒนาโครงการที่หลากหลาย ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งมีรูปแบบโครงการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Unique Design) ได้แก่

1) แบรนด์ “ไบรตัน” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่ปริมณฑล และต่างจังหวัดจับกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน (First Jobber)

2) แบรนด์ “บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว พนักงานบริษัทและเจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก

3) แบรนด์ “แกรนด์ บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับพรีเมียม จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานระดับผู้บริหาร เจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดใหญ่

และ 4) แบรนด์ “เบลกราเวีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่และคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว

ณ วันที่ 30 ก.ย.64 บริษัทมีโครงการที่ปิดการขายแล้ว 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2,028 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 13 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 17,550 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 6 โครงการ ที่จะเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/2564 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 4,300 ล้านบาท

บริษัทวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 10,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดตัวในปี 65 เช่น โครงการบริทาเนีย ราชพฤกษ์-นครอินทร์ มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย อุดร-ดุษฎี มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย ระยอง มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท เป็นต้น

“เราให้ความสำคัญกับการสร้างความแตกต่างด้านบริการ โดยมีนโยบายให้บริการหลังการขายตลอดช่วงอายุของการพักอาศัย (Long-Life Living After Sale Service) มุ่งให้บริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยเสมือนมีผู้ดูแลส่วนตัว โดยนำเทคโนโลยี Mobile Application เข้ามาให้บริการ สามารถนัดหมายจองคิวการใช้บริการล่วงหน้า เช่น แม่บ้าน ช่างเทคนิค คนสวน เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้านมีเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้น” นางศุภลักษณ์ กล่าว

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 64 มีรายได้รวม 2,808.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 452.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดโครงการใหม่และโครงการในปัจจุบันที่มียอดขายดี รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 พ.ย. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top