PF เป้าปี 65 ดันรายได้พุ่ง 1.6 หมื่นลบ.เปิด 15 โครงการใหม่กว่า 2.5 หมื่นลบ.

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท จากปีนี้คาดว่าจะทำได้ 9.64 พันล้านบาท จากแนวโน้มของภาคอสังหาริมทรัพย์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 3/64 และจะค่อยๆ เห็นการฟื้นตัวขึ้นตามลำดับหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การขายและโอนโครงการที่อยู่อาศัยกลับมามากขึ้น

บริษัทจะมีการโอนโครงการแนวราบและคอยโดมิเนียมเข้ามาเป็นจำนวนมากในปีหน้า โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่เปิดขายและโอนได้หลังจากขายแล้วเป็นเวลา 2-3 เดือน โดยในส่วนของแนวราบคาดว่าจะมีรายได้เข้ามาราว 9.3 พันล้านบาท ซึ่งรวมโครงการวิลล่าในระยองที่จะเข้ามาในช่วงปีหน้าราว 300 ล้านบาท

ส่วนคอนโดมิเนียมได้รับปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการ LTV จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ลูกค้ายบางกลุ่มเริ่มกลับมาซื้อคอนโดมิเนียมมากขึ้น ทำให้จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของการโอนคอนโดมิเนียมเข้ามาเสริมรายได้มากขึ้น คาดว่าในปี 65 จะมีรายได้จากคอนโดมิเนียมเข้ามาราว 2.7 พันล้านบาท และบริษัทยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อีก 2.13 พันล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ในปี 65 ทั้งหมด

ขณะที่บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 65 ยังคงเน้นโครงการแนวราบเป็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้าในปัจจุบันที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้นทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ซึ่งบริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่รวม 15 โครงการ มูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการบ้านเดี่ยว โดยจะแบ่งเป็นโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง 12 โครงการ มูลค่า 1.47 หมื่นล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยวระดับบนที่พัฒนาร่วมกับฮ่องกงแลนด์ 3 โครงการ มูลค่า 1.09 หมื่นล้านบาท

นายวงศกร กล่าวอีกว่า ในปี 65 บริษัทยังคงเดินหน้าในการขายที่ดินและเงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยวางแผนขายที่ดินและเงินลงทุนออกไปอีก 4.9 พันล้านบาท อีกทั้งยังวางแผนนำโรงแรมในเครือ บมจ.แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เพิ่มเติม หลังจากปีนี้ขายโรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน เข้ากอง REIT ไปแล้ว คาดว่าปีหน้าจะขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT มูลค่าราว 4.5 พันล้านบาท

สำหรับการขายคิโรโระ รีสอร์ท ในประเทศญี่ปุ่น บริษัทคาดว่าจะบันทึกกำไรเข้ามาราว 1.4 พันล้านบาทในช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งเป็นไปตามแผนของบริษัทที่ทยอยขายที่ดินและเงินลงทุนออกในช่วง 3 ปีนี้ (ปี 63-65) รวมกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท เพื่อทำให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและลดภาระหนี้สินลง ทำให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุน (Net IBD/E) ลดลงเหลือต่ำกว่า 1.5 เท่า จากปัจจุบันที่ 2.11 เท่า

ด้านธุรกิจถุงมือยางที่เป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร มองว่ามีแนวโน้มการเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันราคาขายถุงมือยางจะลดลงมาบ้างเล็กน้อย โดยในปี 65 คาดว่าราคาขายถุงมือยางจะลงมาที่ 4 ดอลลาร์สหรัฐฯ/กล่อง จากปีนี้ที่ 4.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ/กล่อง โดยธุรกิจถุงมือยางตั้งเป้ารายได้ราว 5.8 พันล้านบาท/ปี ซึ่งบริษัทจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเข้ามาตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 พ.ย. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top