รฟม.เข้มมาตรการป้องกันระบาดโควิดในระบบรถไฟฟ้า MRT ให้ความมั่นใจผู้โดยสาร

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลการให้บริการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และ รถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) และบมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า MRT ทั้ง 2 สาย ได้ดำเนินการมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในระบบรถไฟฟ้า MRT และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสาร ดังนี้

  1. ผู้โดยสารทุกท่าน ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในระบบรถไฟฟ้า
  2. คัดกรองอุณหภูมิผู้โดยสารก่อนเข้าใช้บริการ โดยอุณหภูมิต้องไม่เกิน 37.5 องศา และมีการตรวจคัดกรองอุณหภูมิของเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานในระบบรถไฟฟ้าทุกคนก่อนการเข้าปฏิบัติหน้าที่ทุกกะ
  3. จัดจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือตั้งแต่ทางเข้าออกสถานี ห้องออกบัตรโดยสาร ชานชาลา ทุกสถานี
  4. เพิ่มความถี่การทำความสะอาดด้วยยาฆ่าเชื้อบริเวณพื้นที่สัมผัสบ่อย เช่น ราวบันได ประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ เครื่องออกเหรียญโดยสารอัตโนมัติ ตลอดจนพื้นที่ปฏิงานของพนักงาน
  5. ทำความสะอาดรถไฟทุกขบวนก่อนนำออกให้บริการ และเช็ดทำความสะอาดจุดสัมผัสบ่อยภายในขบวนรถด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่สถานีปลายทางระหว่างวัน
  6. ควบคุมปริมาณผู้ใช้บริการแต่ละจุดเพื่อไม่ให้เกิดความแออัดทั้งในสถานีและในขบวนรถไฟฟ้า และจัดขบวนรถไฟเสริมกรณีมีผู้ใช้บริการหนาแน่น เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ social distancing
  7. ทำความสะอาดเหรียญโดยสารด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งก่อนนำออกมาหมุนเวียนให้บริการ
  8. ขอความร่วมมือผู้โดยสารติดตั้ง Application “หมอชนะ” และสแกน QR Code ไทยชนะเพื่อเช็คอิน และเช็คเอาท์ทุกครั้งเมื่อขึ้นและลงจากขบวนรถ
  9. ประชาสัมพันธ์มาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระบบรถไฟฟ้า MRT อย่างต่อเนื่องทั้งในขบวนรถ และในสถานี

ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัย / หน้ากากผ้าตลอดเวลา ไม่ดึงลงมาใต้คาง รักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ขณะรอซื้อตั๋วโดยสาร และรอขึ้นรถไฟฟ้า งดเว้นการพูดคุย และโปรดหลีกเลี่ยงการยืนหันหน้าเข้าหากันขณะอยู่ในขบวนรถไฟฟ้า หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์และไม่นำมือไปสัมผัสบริเวณใบหน้า จมูก ปาก ตา

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ม.ค. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top